ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: กรุงเทพฯ, Thailand

ฉันเป็นคนความจำสั้นน่ะ เหมือนเมมโมรี่สมองมันเกือบเต็มแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่นี้แล้ว บางครั้งสมองก็ Auto Delete เพื่อความสบายตัวของหัวสมองเอง ดังนั้นฉันจึงต้องบันทึกการเดินทาง ชีวิตและความคิด... บางส่วนไว้... เพื่อกันลืม และเผื่อมีใครอยากอ่าน อยากรับรู้บ้าง...ฉันก็ยินดี sharkyja@yahoo.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

* I love San Francisco (1)

I love San Francisco

เนื่องจากก่อนเดินทางกลับมาตุภูมิแผ่นดินอันเป็นที่รัก
เที่ยวบินที่ฉันจองไว้ Round Trip จากไทยแลนด์มาสหรัฐนั้น เป็นเที่ยวบินที่จะพักเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน (ไทเป) และที่ San Francisco ด้วย ดังนั้นขากลับจึงต้องเป็นเส้นทางบิน (Route) เดิม
ฉันจึงถือโอกาสนี้เที่ยวซานฟรานด้วยดีกว่า รีบดำเนินการเลื่อนตั๋วเพื่อบินไปพักและค้างที่ซานฟราน 1 คืน 2 วันเพื่อเที่ยวเมืองใหญ่ในฝันของฉันให้ฉ่ำปอด

ทริปนี้ ใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น ฉันจึงตั้งใจว่าจะลองใช้ชีวิตแบบ Back Packer จองโรงแรมของ Hostel
เผื่อติดใจจะได้ลองเที่ยวแบบ Back Packer ราคาประหยัดได้อีกหลายๆ ที่ (นอนไม่หรูแต่ก็สบายดี ฉันว่าก็โอเคล่ะ สำหรับห้องพักราคาเป็นกันเองในใจกลางเมือง เดินทางสะดวกเป็นที่สุด) เป็นการประหยัดค่าโรงแรมเพื่อเป็นค่าฝากกระเป๋าที่แอร์พอร์ตน่ะ

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552


เดินทางออกจากสนามบินเล็กๆ และสงบ HSV (Huntsville) แต่เช้าตรู่และพี่ชายที่แสนดีก็มาส่งอีกเช่นเคย
เมื่อเช็คอินและชั่งน้ำหนักกระเป๋าก็ปรากฏว่า ฉันต้องเสียค่ากระเป๋าเกิน 1ใบ $25 เนื่องจากฉันพักที่ซานฟราน 1 คืนก่อนใช้บริการบินระหว่างประเทศกลับไทย เขาจึงถือว่าฉันบินภายในประเทศ น้ำหนักกระเป๋าได้เพียง 23 กก. 1 ใบเท่านั้น แต่ฉันมีสองใบน่ะ เพราะต้องขนของเดินทางกลับไทย (ตามมาตราฐานน้ำหนักกระเป๋าบินระหว่างประเทศได้ 2 ใบ ๆละ 23 กก. ถ้าฉันไม่พักค้างคืน ฉันก็ไม่ต้องเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าเกินน่ะ) ถึงเวลาเข้าเกต อำลาพี่ชายแล้วก็ได้บิน ประมาณ 45 นาทีก็มาพักครื่องที่ Atlanta (เมืองนี้ฉันเคยมาเที่ยวแล้วหลายครั้ง)
ประมาณเที่ยงฉันก็ถึงเมืองในฝันอันแสนโรแมนติกของใครหลายๆ คน เนื่องจากฉันมีกระเป๋าใบใหญ่สองใบไม่สะดวกกับการเที่ยวเองเป็นอย่างมาก ฉันจึงใช้บริการฝากกระเป๋าที่สนามบิน (เป็นของเอกชน) ค่าฝากกระเป๋าใบละ $ 15 ต่อ 24 ชม. (ของฉัน 2 ใบ ฝาก 2 วัน จึงเป็นเงิน $ 60)
เมื่อเหลือเพียงใบย่อม 1ใบ ฉันจึงเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟ ($ 15 ต่อเที่ยว) ออกจากสถานี ก็ลากกระเป๋าไปเช็คอินที่โรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าแล้วจึงตระเวนรอบเมืองด้วยรถราง

ฉันซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถราง รถเมล์ เคเบิ้ลคาร์ ภายใน City แบบ 3 วัน – 3 days passport ราคา $18
(จริงๆ แล้วฉันซื้อแบบทีละเที่ยวน่าจะประหยัดกว่า แต่ฉันก็คิดว่าฉันจะต้องหลงบ่อยมากแน่ๆ ต้องขึ้นๆ ลงๆ จนคุ้มล่ะน่า แค่ขึ้นรถรางก็เที่ยวละ $5 แล้วก็จะได้ไม่ต้องถามว่าขึ้นอะไรเท่าไหร่)
เอาเข้าจริง ฉันก็เดินซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะแต่ละจุดก็ไม่ไกลกันเท่าใดนัก และอากาศก็เย็นสบายดี เหมาะแก่การเดินชมบ้านชมเมืองเขายิ่งนัก บางทีเดินไปเรื่อยๆ ก็เร็วกว่ารอเวลารถมาอีกนะ

วันแรกนี้ ฉันก็นั่งรถรางไปเดินชม China Town ก่อนเลย (เมืองนี้คนเอเชียเยอะมากจริงๆ เดินไปแถวๆ ไชน่าทาวน์ ถามทางบางคน เขาไม่รู้ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำไป อีกทั้งเจ้าหน้าที่พนักงานรถราง รถไฟ คนขับรถ Cable Car หรือแม้แต่ตำรวจก็เป็นชาวจีน ชาวเอเชียซะเป็นส่วนใหญ่)
แล้วจึงนั่งรถรางต่อไปที่ถนนคดเคี้ยวที่สุดในโลก คือถนน Lombard นั่นเอง ฉันก็อยากจะลองดี เดินขึ้นเขาเพื่อไปชมเมืองด้านบนของถนน จึงเดินๆๆๆ โอ้โห! เหนื่อยสุดๆ เดินไปเรื่อยๆ สักครึ่งทางก็คิดไปพลางว่านี่ฉันจะลำบากเดินขึ้นมาทำไมหว่า รถเมล์ รถรางก็มี ตั๋วก็ซื้อแล้ว ไม่ได้เสียตังค์เพิ่มสักหน่อย ทำไมต้องเดินด้วยเนี่ย...
จะท้อถอยเดินกลับก็ไม่ได้นะ เพราะเดินลงดูท่าว่าจะลำบากกว่า อย่างไรก็ต้องเดินให้ถึงสุด เพื่อจะได้นั่งรถรางกลับลงมา
เหนื่อยก็หยุดนั่งพักเหนื่อยได้ แต่ห้ามถอย
และเมื่อถึงจุดสูงสุด มองออกไป โอ้โห! เห็นเมืองกว้างไกล สวยงามทีเดียว (เห็น Coit Tower ด้วย)
พระอาทิตย์ก็เป็นแสงสีส้มแล้ว ท้องฟ้าสวยงามมาก สมกับความเหน็ดเหนื่อยที่ฉันเดินขึ้นมาทีเดียวเชียว (ฮ่าๆ แค่เดินขึ้นถนน Lombard ก็ได้ปรัชญาชีวิตฝังใจเลยเชียวนะนี่)
อ้อ... เส้นทางนี้ผ่าน Nob Hill มี Cable Car Museum ที่เปิดให้ชมฟรีด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้แวะดูน่ะ เพราะอยากดูอย่างอื่นอีกมากมาย กลัวดูไม่ทันอ่ะ



เมื่อชมเมืองชื่นใจแล้ว ฉันก็นั่งรถรางเลียบชายทะเลผ่าน Pier ทั้งหลายมาลงที่ Ferry Building แล้วก็เดินชมทะลที่ Pier 2 เห็นสะพาน Bay Bridge พร้อมแสงไฟยามค่ำ สวยงามจับตาทีเดียว มองเห็นตึกเฟอรี่ และ Coit Tower เป็นฉากหลังอีกด้าน มองผู้คนมาเดินเล่นและออกกำลังกายยามค่ำอย่างเพลิดเพลิน ฉันนั่งกินลมชมสะพานอยู่เป็นนาน จึงนั่งรถรางต่อไปลง Civic Center เพราะเพียงแค่ทุ่มกว่า ๆ เท่านั้น ฉันเห็นว่ายังไม่ดึกมาก จึงคิดว่าจะไปเดินชมแสงสีของไฟจากตึกสวยๆ แถว City Hall แต่เมื่อถึงและลงเดินไปได้สักพัก ก็ต้องเปลี่ยนใจนั่งรถเมล์ Cable Car กลับเพราะเมืองไม่ได้คึกคักอย่างที่ฉันคิด ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านแบบเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ถนนออกจะเงียบเหงาและมี Homeless อยู่มากมาย ฉันเคยอ่านเจออยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่ฉันเสิร์ทหาโฮสเทล ฉันตัดสินใจอยู่ 2 แห่งคือที่ Civic Center หรือที่ Powell Station ฉันชอบภาพที่พักของที่ Civic Center มากกว่า แต่ฉันก็ต้องเลือกอีกที่ เพราะอ่านความเห็นของผู้ที่เคยพัก เขาบอกว่าที่ Civic Center ตอนกลางคืนดูอันตราย เพราะ Homeless เยอะมาก เมื่อฉันกลับมาถึงที่ Union Square จึงรู้สึกอุ่นใจแบบคนเมืองขึ้นมาบ้างเพราะยังคงมีแสงสียามค่ำตามร้านรวงต่างๆ ที่ยังคงเปิดให้บริการ แต่ก็ไม่คึกคักเหมือนนิวยอร์ก ทริปนี้เป้าหมายคือชมเมืองฉันจึงไม่ได้เดินเข้าห้างเลยสักห้างเดียว วันนี้จึงพอแค่นี้ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปชมเมือง

ป้ายกำกับ: , , , ,

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านแล้ว อยากบอกว่า...

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก