*I love San Francisco (2)
ออกจากที่พักแต่เช้า ฝากกระเป๋าไว้ในล็อคเกอร์ของโรงแรมเพื่อความสบายตัวในการท่องเที่ยว
เป้าหมายแรกของวันนี้คือสะพานส้ม (แดง) สัญลักษณ์ของเมืองซานฟราน นั่นคือ Golden Gate Bridge เดินไปถามทางกับ Information Center หน้าสถานีรถราง เขาบอกให้นั่งรถเมล์ 2 ต่อ ฉันก็ปฏิบัติตามที่เขาบอกพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากผู้คนในเมืองนี้ไปตลอดทาง
แล้วฉันก็ถึงที่หมาย สะพานแดงยามเช้า สวยงามจนฉันบรรยายไม่ถูกล่ะ อีกทั้งรู้สึกดีมากที่ตัวเองสามารถหาทางมาได้เอง โดยไม่ได้เสียเวลามากมายนักแต่ยังได้ความรู้สึกดีๆ จากเจ้าหน้าที่รถเมล์และผู้คนที่เป็นมิตรไปตลอดทาง คงเป็นเพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้คนจึงเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี
ได้รูปแจ่มๆ สวยๆ สมใจก็นั่งรถเมล์กลับอีกเส้นทางหนึ่ง เลียบชายทะเลผ่าน Pier ต่างๆ แบบเมื่อวานไปลงที่ Beach Street เพื่อชม Ghiradelli Square แอนด์ชิมช็อคโกแลตแสนอร่อยอันคุ้นเคย
เดินเรื่อยๆ เลียบทะเลมาก็เจอตลาดมหาชัย เอ๊ย ไม่ใช่ Fisherman Wharf ตะหาก แล้วก็ไปฟังเสียงแมวน้ำร้องที่ Pier 39 นั่งมองแมวน้ำได้สักพักก็ต้องลา เพราะกลิ่นน้องแมวได้ใจมาก
อีกด้านหนึ่งสามารถมองเห็น เกาะนกเพลิแกน (Pelican) นั่นคือ Alcatraz ซึ่งเป็นภาษาสเปน แปลว่า นกเพลิแกน เหตุที่ได้ชื่อนี้ เพราะเมื่อก่อนเกาะนี้มีแต่นกเพลิแกนอาศัยอยู่เท่านั้น ต่อมาจึงกลายเป็นเกาะคุมขังนักโทษจากสงคราม Spanish – American War และในปี 1934 เกาะนี้ก็มีชื่อเสียงเพราะเป็นสถานที่คุมขังนักโทษระดับซุปเปอร์ High – Risk อาทิ Alcapone (เคยมีภาพยนตร์เกี่ยวกับเขามาแล้ว), Kelly ผู้ได้ชื่อว่า Manchine Gun, Robert “Bird Man” Stroud
เกาะนี้มีอีกชื่อหนึ่งคือ “The Rock” ที่เป็นภาพยนตร์ฮอลีวูดมาแล้วด้วย ฉันไม่ได้นั่งเรือเพื่อไปชมภายในของเกาะ เพราะสถานที่คุมขังใดๆ ฉันว่าก็ไม่มีทางสวยไปได้หรอก (ฉันเคยไปเที่ยวคุกเก่าที่ทัสมาเนีย- ออสเตรเลีย เป็นคุกเก่าที่เคยขังนักโทษสมัยอังกฤษปกครองเมือง ดูแล้วมันเศร้าๆ ซึมๆ อย่างบอกไม่ถูกล่ะ ทั้งๆ ที่อากาศดีและตึกเก่าๆ ทั้งหลายนั้นก็สวยดี แต่ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยดี)
เดินชมดอกไม้สวยๆ ตลอดเส้นทาง Pier 39 เนื่องจากช่วงที่ฉันมาเยือนนี้เป็นเทศกาล Tulip Mania จึงมีดอกทิวลิป ดอกแดฟเฟอดิล และอื่นๆ มากมายละลานตา แม้แต่ปูยักษ์สัญลักษณ์ Fisherman Wharf ก็เป็นดอกไม้ด้วยล่ะ
หลังจากนั้นฉันจึงนั่ง เคเบิ้ลคาร์ ที่เขาเรียกว่า Street Car – F line เพื่อมาชม City Hall ยามกลางวันแดดแจ่มๆ มา
ที่ Civic Center (เส้นนี้ผ่าน Livi’s Plaza ที่ใครหลายคนอยากมาด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้แวะ เพราะทริปนี้เป้าหมายไม่ใช่การช็อปปิ้ง ไม่ใช่อะไรหรอก กระเป๋าน้ำหนักมากพอแล้ว ไม่อยากเพิ่มน้ำหนักสัมภาระให้ตัวเอง เก็บเงินไว้ซื้อประสบการณ์ดีกว่า .... เดี๋ยวนี้เขาฮิตซื้อ Experience มากกว่า Brand กันนี่นา)
ที่นี่ยามกลางวันช่างแตกต่างกับยามค่ำคืนราวกับคนละสถานที่ (แต่ Homeless ก็ยังคงมีอยู่ตามซอกตึกอาคารมุมสงบต่างๆ) ฉันจึงเดินชม City Hall, Opera House, Asian Art Museum อนุสาวรีย์ต่างๆ และก็เข้าไปชมห้องสมุดแสนสวย ที่นี่ก็มีเทคโนยีและการให้บริการไม่แพ้ที่นิวยอร์ก มีมินิเธียร์เตอร์ ฉายภาพยนตร์ให้ความรู้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย แต่ภายในห้องที่ฉันเข้าไปเยี่ยมชมนั้น รู้สึกว่าจะมีแต่ Homeless เข้ามานอนพักผ่อนเสียมากกว่านะ
ฉันเข้าใจว่าที่เมืองซานฟรานซิสโกนี้คงจะมีสวัสดิการดีกว่าเมืองอื่นๆ เป็นแน่ เพราะ Homeless คนชราและคนพิการมีอยู่มากมายตามถนนหนทางมากกว่าเมืองไหนๆ ที่ฉันเคยเห็น และฉันก็เห็นแบบจะๆ ว่ารถเมล์ Cable Car นั้น เขาให้ความสำคัญกับคนชราและคนพิการมากทีเดียว บันไดขึ้นลงสามารถปรับเป็นทางลาดให้รถเข็นขึ้นลงได้อย่างสะดวกก่อนที่จะให้บริการประชาชนทั่วไป
ฉันเห็นแล้วก็ทึ่งกับสวัสดิการนี้มากทีเดียว คนพิการสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง
พอบ่ายคล้อย ฉันอยากชมเมืองในที่สูงอีกรอบ จึงนั่งรถเมล์ไป Alamo Square เพื่อชมบ้านสไตล์ Victorian หลากสีแสนสวยที่เขาเรียกกันว่า "Painted Ladie"
อื้ม... ชื่นใจเมื่อชมเมืองจากที่สูง หากชาติที่แล้วมีจริง ฉันคงต้องเคยเป็นนกแน่ๆ ขึ้นที่สูงทีไรรู้สึกดีทุกที
อีกจุดหนึ่งที่อยากไปยลคือ Twin Peak แต่คิดสรตะดูแล้วก็คงจะคล้ายๆ กับที่นี่ละมัง ไม่อยากหลงหาทางไปแล้วล่ะ จะเย็นแล้ว ฉันจึงเลือกกลับเส้นทางเดิมเพื่อนั่งรถรางไป Grace Cathedral และ St. Mary Cathedral เพื่อไหว้พระขอพรตามแบบฉบับการเที่ยวของฉันน่ะ
แล้วก็ได้เวลาที่เหมาะสมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ล็อคเกอร์โรงแรม แล้วจึงขึ้นรถไฟไปสนามบินแบบชิลล์ๆ
จริงๆ แล้วฉันตั้งใจว่าจะมาชม museum ของสนามบิน SFO เป็นการฆ่าเวลาก่อนขึ้นเครื่องแต่ปรากฎว่าเขาปิดให้บริการในส่วน Museum ตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้วน่ะ แต่ขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่ม อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าฉันจะขึ้นเครื่องน่ะ (ขึ้นเครื่องประมาณเที่ยงคืน) แต่ที่นี่มีให้บริการ Wifi ด้วย ฉันจึงเล่นอินเตอร์เน็ตเพลินจนได้เวลาขึ้นเครื่องนั่นแหละ .... ขากลับครั้งนี้รู้สึกดีๆ กว่าขามาที่สนามบินนี้เป็นร้อยเท่าพันทวี (ขามาฉันรู้สึกแย่กับสนามบินนี้อย่างไร ไว้ฉันเล่าให้ฟังต่อไปละกัน โปรดติดตาม)
ขึ้นเครื่องอย่างสบายใจเป็นที่สุด อีกไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็ได้กอดแม่แล้ว...
หมายเหตุ
จริงๆ แล้ว สถานที่ทั้งหมดที่ฉันไปมาในวันนี้และเมื่อวาน สามารถซื้อ City Tour นั่งรถบัสชมเมืองในราคาเพียง $40 หรือ $60 และใช้เวลาเพียงแค่ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ฉันคิดว่า ฉันคงจะไม่ประทับใจเหมือนกับที่ฉันได้เดินท่องหาทางเที่ยวเองแบบนี้เป็นแน่ คงจะเหมือนกับชะโงกทัวร์ที่ฉันประสบมาแล้วกับเมืองแสนสวยอย่างวอชิงตันดีซีที่ฉันรู้สึกแย่กับกรุ๊ปทัวร์เป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงคิดว่าเสียเงินและเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกไม่มากมายอะไร แต่ได้ความประทับใจไม่รู้ลืมดีกว่า แล้วฉันก็ได้เช่นนั้นจริงๆ
ป้ายกำกับ: ชมแมวน้ำ, เที่ยวซานฟราน, โบสถ์ซานฟราน, golden gate, Grace Cathedral, pier 39
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อ่านแล้ว อยากบอกว่า...
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก