positive attitude
ทัศนคติเชิงบวก... เจ๋งๆ
เมื่อวานก่อน (วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552) ดูรายการโทรทัศน์ 3 รายการ รู้สึกสะดุดใจกับเนื้อหาดี ๆ (ใครว่าดูทีวีมากๆ ไม่ดี ใคร๊บอกกกกกกกกกกกก)
หนึ่งคือ รายการ "เจาะใจ" เขาสัมภาษณ์น้องที่เคยเป็นโรค GBS (Guillain - Barré syndrome) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วทำไปทำลายประสาทสั่งการ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่ประสาทส่วนบนปกติดี ทั้งสมอง การมองเห็น การได้ยิน แต่พูดไม่ได้ กระพริบตาได้อย่างเดียว จึงต้องสื่อสารด้วยการกระพริบตาทีละตัวอักษร คือให้เลือกระดานพยัญชนะ และกระดาษสระและตัวเลข (เหมือนนักเขียนในหนังสือ “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” ของสนพ. ผีเสื้อ หมายถึงใช้วิธีการเดียวกันในการสื่อสาร แต่น้องเขาเป็นคนละโรคกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ - ไว้ฉันเขียนถึงคราวต่อไปละกัน)

กว่าจะได้แต่คำแต่ละประโยค เหนื่อยทีเดียว แค่เราพิมพ์ตัวอักษรยังรู้สึกว่าช้ากว่าพูด ไม่ทันใจ สื่อสารแบบน้องคนนี้คงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แล้วน้องเขาก็เกือบเสียชีวิต เพราะใจไม่อยากมีชีวิต จึงส่งผลให้ร่างกายแย่ลงจนไม่ยอมให้ร่างกายรับเครื่องช่วยหายใจ หมอจึงเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ น้องจึงคิดได้ว่าในเมื่อไม่ตายก็ต้องมีชีวิตให้ดีที่สุด จึงพยายามฝึกจิตให้บังคับเส้นประสาทร่างกาย เช่น คิดว่าจะขยับเข่าให้ได้ ฝึกเป็นเดือน ร่างกายจึงตอบสนองมีเส้นประสาทกระตุกเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณเริ่มแรกว่าน้องจะหาย
แล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง น้องหายจากโรคร้ายนี้จนสามารถกลับมาเรียนต่อได้จนจบนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เกียรตินิยมด้วย แล้วน้องเขาก็ให้ข้อคิดอีกว่า ครั้งแรกที่เขาหายจากโรคจนสามารถกินข้าวได้ (ก่อนหน้านี้ต้องให้อาหารทางสายยางเข้าจมูก) เขารับรู้ได้ถึงความอร่อยของเม็ดข้าวแต่ละเม็ด ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจ...
เรื่องราวของน้องคนนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่เรามีชีวิตที่ร่างกายสมบูรณ์ในแต่ละวันได้รับรู้ความรื่นรมย์ สัมผัสสิ่งต่างรอบตัวได้ทุกวัน นับว่าเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว หากแม้ความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยจิตใจที่คิดแต่ด้านดีๆ ของชีวิต
สองคือ รายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” เขาฉายภาพอุบัติเหตุจากสี่แยกร้อยศพ เป็นสี่แยกใหญ่ที่คนมักขับรถฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ของตัวเองที่เคยขับรถฝ่าไฟเหลือง (เป็นแยกใหญ่ และถนนค่อนข้างว่าง ไม่มีรถ แยกแบบนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด) แล้วมีมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงมาพุ่งชน (โชคดีที่เขาก็ผิด เป็นรถฝ่าไฟแดง เพราะฉันผ่าแค่ไฟเหลือง แต่จริงๆ แล้วก็ผิดนะ) โชคดีทั้งสำหรับฉันและสำหรับเขา คือ เขาไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร (ปาฏิหาริย์มาก เพราะฉันว่าชนแรงทีเดียวละนะ รถฉันพังไปครึ่งคัน กระโปรงหน้ายุบ หม้อน้ำแตก วิ่งต่อไม่ได้เลย ต้องเรียกรถลากไปส่งอู่เลยทีเดียว มอเตอร์ไซค์น้องเขาก็ไถลเลยแยกไปไกลมาก) รอเขาไปเอ็กซเรย์และพบหมอแล้ว เขาก็ไม่เป็นอะไร เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดที่ไปทำลายชีวิตเขา และตัวฉันเองก็อาจจะต้องมีความผิดทางกฎหมาย แต่ทั้งหมดก็คลี่คลายลงได้ด้วยดี โดยน้องเขาไม่เป็นอะไร และฉันก็แค่เสียค่าซ่อมรถเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา ฉันก็ไม่เคยขับรถเร็วและผ่าไฟแดงหรือไฟเหลืองอีกเลย (ก็ไม่รู้ว่าจะเร็วไปทำไม อย่างไรก็ถึง ดีกว่าไปไม่ถึงนะ ฉันว่า)
สามคือ “ชีพจรโลก กับสุทธิชัย หยุ่น” สัมภาษณ์ สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน
ชอบประโยคที่เขาบอกให้เด็กๆ ยืนขึ้นและพูดตาม “ I am somebody” คือเน้นย้ำว่าทุกคนสำคัญ ทุกชีวิตสำคัญ ตัวเราสำคัญ คนอื่นก็สำคัญ ให้ความเคารพกับผู้อื่น เน้นเรื่องความรักและะสันติภาพ
คำถามสุดท้ายที่สุทธิชัย หยุ่นถามเขานั่นคือ ทำไมเขาไม่เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่กลับเป็นโอบามา เขาเสียใจมั้ยที่เกิดเร็วเกินไป
เขาบอกว่า “มันเป็นจังหวะเวลา ณ เวลานั้นสหรัฐยังไม่ยอมรับคนผิวสี มีปัญหาความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติค่อนข้างมาก แต่เขาไม่เสียใจที่เกิดมาเร็ว เกิดมาในช่วงนั้น แต่กลับภูมิใจที่เขาเป็นผู้หว่านเมล็ดให้ผู้คนในสังคมเริ่มยอมรับมากขึ้น โอบามายังเคยฟังเขาปาฐกถา ในตอนนนั้นโอบามาก็เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วเขาทำให้โอบามาเชื่อมั่นในความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะต้องมีความเท่าเทียมกันในประเทศสหรัฐอเมริกา” แล้ววันนี้ความเชื่อของเขาก็เป็นจริงที่มีโอบามาเป็นประธานาธิปดีผิวสีคนแรกของสหรัฐ (ประเทศที่เคยมีสงครามแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิวมาก่อน)
“ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมความเชื่อและศาสนา เหมือนผ้านวมผืนใหญ่ ที่ประกอบด้วยเศษผ้าชิ้ นเล็กๆ มาเรียงร้อยต่อกันด้วยด้ายเส้นเดียว” - สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน -
“Jesse Jackson ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "with a positive attitude, it is far easier to keep hope alive" - ด้วยทัศนคติในเชิงบวกเท่านั้นที่เป็นการง่ายที่สุดในการรักษาความหวังให้คงอยู่ ดังนั้น เราควรมีทัศนะคติในเชิงบวก มีความหวังต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ที่สื่อมักสร้างแต่ทัศนคติในเชิงลบจนดูเหมือนว่าสังคมสิ้นหวังหดหู่ ในขณะที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมายในเชิงบวกที่กำลังดำเนินไป เช่น การเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กิจกรรมสร้างสันติภาพในหมู่เด็กๆ ความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างชุมชน ระหว่างศาสนิกต่างๆ เป็นต้น (จากเว๊บไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)”
หมายเหตุ
GBS เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลายโดยสาเหตุเกิดจาก มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดการทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ดังนั้นอวัยวะที่เส้นประสาทส่วนปลายเหล่านั้นเลี้ยงจะสูญเสียหน้าที่การทำงานไป ดังเช่นมีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ อาการชา อาการเดินเซ เป็นต้นอาการของโรคนี้จะมีอาการตามเส้นประสาทที่ไปเลี้ยง อาการที่พบได้แก่ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยมักมีการกระจายไม่เท่ากันทั้งสองข้าง อาการอ่อนแรงเป็นที่แขนขา โดยมีอาการส่วนปลายมากกว่าส่วนต้น อาการชาปลายมือปลายเท้า ลักษณะอาการชามือบางครั้งลามมาถึงข้อมือคล้ายสวมถุงมือถุงเท้า โดยการกระจายของอาการชามักเป็นที่เท้าก่อนกระจายมาที่ปลายมือ 2 ข้างอาการอ่อนแรงใบหน้า มีอาการหลับตาไม่สนิท อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ กลืนอาหารลำบากอาการดังกล่าวเป็นอย่างรวดเร็ว เป็นวันและมีอาการเพิ่มมากขึ้นภายในสัปดาห์แล้วแต่ความรุนแรง และมักมีอาการคงที่ในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะคงที่และดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจผิดปกติ ดังนั้นผู้ป่วยอาจเสียชีวิตเนื่องจากการหายใจล้มเหลวอากาจมีอาการถ่ายเหลวนำมาก่อน หรือมีไข้
สาเหตุของเส้นประสาทผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเราซึ่งในภาวะปกติจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเราและอวัยวะภายในร่างกายของเรานั้นเกิดความผิดปกติ โดยจะทำลายเส้นประสาทของเรา สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันหันมาทำลายเส้นประสาทของตัวเองนั้นเกิดจาก การที่ร่างกายเกิดการติดเชื้อบางชนิด เช่น Campilobactor jejuni, CMV, Mycoplasma pneumoniae โดยเมื่อร่างกายติดเชื้อเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าผู้ป่วยจะแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการก็ตาม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เชื้อเหล่านี้ดันมีลักษณะบางชนิดที่คล้ายเส้นประสาท ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราเกิดจำผิดขึ้นว่าเส้นประสาทของเราก็เป็นเชื้อโรคด้วย ทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย
เมื่อวานก่อน (วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552) ดูรายการโทรทัศน์ 3 รายการ รู้สึกสะดุดใจกับเนื้อหาดี ๆ (ใครว่าดูทีวีมากๆ ไม่ดี ใคร๊บอกกกกกกกกกกกก)
หนึ่งคือ รายการ "เจาะใจ" เขาสัมภาษณ์น้องที่เคยเป็นโรค GBS (Guillain - Barré syndrome) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วทำไปทำลายประสาทสั่งการ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่ประสาทส่วนบนปกติดี ทั้งสมอง การมองเห็น การได้ยิน แต่พูดไม่ได้ กระพริบตาได้อย่างเดียว จึงต้องสื่อสารด้วยการกระพริบตาทีละตัวอักษร คือให้เลือกระดานพยัญชนะ และกระดาษสระและตัวเลข (เหมือนนักเขียนในหนังสือ “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” ของสนพ. ผีเสื้อ หมายถึงใช้วิธีการเดียวกันในการสื่อสาร แต่น้องเขาเป็นคนละโรคกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ - ไว้ฉันเขียนถึงคราวต่อไปละกัน)

กว่าจะได้แต่คำแต่ละประโยค เหนื่อยทีเดียว แค่เราพิมพ์ตัวอักษรยังรู้สึกว่าช้ากว่าพูด ไม่ทันใจ สื่อสารแบบน้องคนนี้คงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แล้วน้องเขาก็เกือบเสียชีวิต เพราะใจไม่อยากมีชีวิต จึงส่งผลให้ร่างกายแย่ลงจนไม่ยอมให้ร่างกายรับเครื่องช่วยหายใจ หมอจึงเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ น้องจึงคิดได้ว่าในเมื่อไม่ตายก็ต้องมีชีวิตให้ดีที่สุด จึงพยายามฝึกจิตให้บังคับเส้นประสาทร่างกาย เช่น คิดว่าจะขยับเข่าให้ได้ ฝึกเป็นเดือน ร่างกายจึงตอบสนองมีเส้นประสาทกระตุกเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณเริ่มแรกว่าน้องจะหาย
แล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง น้องหายจากโรคร้ายนี้จนสามารถกลับมาเรียนต่อได้จนจบนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เกียรตินิยมด้วย แล้วน้องเขาก็ให้ข้อคิดอีกว่า ครั้งแรกที่เขาหายจากโรคจนสามารถกินข้าวได้ (ก่อนหน้านี้ต้องให้อาหารทางสายยางเข้าจมูก) เขารับรู้ได้ถึงความอร่อยของเม็ดข้าวแต่ละเม็ด ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจ...
เรื่องราวของน้องคนนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่เรามีชีวิตที่ร่างกายสมบูรณ์ในแต่ละวันได้รับรู้ความรื่นรมย์ สัมผัสสิ่งต่างรอบตัวได้ทุกวัน นับว่าเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว หากแม้ความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยจิตใจที่คิดแต่ด้านดีๆ ของชีวิต
สองคือ รายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” เขาฉายภาพอุบัติเหตุจากสี่แยกร้อยศพ เป็นสี่แยกใหญ่ที่คนมักขับรถฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ของตัวเองที่เคยขับรถฝ่าไฟเหลือง (เป็นแยกใหญ่ และถนนค่อนข้างว่าง ไม่มีรถ แยกแบบนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด) แล้วมีมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงมาพุ่งชน (โชคดีที่เขาก็ผิด เป็นรถฝ่าไฟแดง เพราะฉันผ่าแค่ไฟเหลือง แต่จริงๆ แล้วก็ผิดนะ) โชคดีทั้งสำหรับฉันและสำหรับเขา คือ เขาไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร (ปาฏิหาริย์มาก เพราะฉันว่าชนแรงทีเดียวละนะ รถฉันพังไปครึ่งคัน กระโปรงหน้ายุบ หม้อน้ำแตก วิ่งต่อไม่ได้เลย ต้องเรียกรถลากไปส่งอู่เลยทีเดียว มอเตอร์ไซค์น้องเขาก็ไถลเลยแยกไปไกลมาก) รอเขาไปเอ็กซเรย์และพบหมอแล้ว เขาก็ไม่เป็นอะไร เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดที่ไปทำลายชีวิตเขา และตัวฉันเองก็อาจจะต้องมีความผิดทางกฎหมาย แต่ทั้งหมดก็คลี่คลายลงได้ด้วยดี โดยน้องเขาไม่เป็นอะไร และฉันก็แค่เสียค่าซ่อมรถเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา ฉันก็ไม่เคยขับรถเร็วและผ่าไฟแดงหรือไฟเหลืองอีกเลย (ก็ไม่รู้ว่าจะเร็วไปทำไม อย่างไรก็ถึง ดีกว่าไปไม่ถึงนะ ฉันว่า)
สามคือ “ชีพจรโลก กับสุทธิชัย หยุ่น” สัมภาษณ์ สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน
ชอบประโยคที่เขาบอกให้เด็กๆ ยืนขึ้นและพูดตาม “ I am somebody” คือเน้นย้ำว่าทุกคนสำคัญ ทุกชีวิตสำคัญ ตัวเราสำคัญ คนอื่นก็สำคัญ ให้ความเคารพกับผู้อื่น เน้นเรื่องความรักและะสันติภาพ
คำถามสุดท้ายที่สุทธิชัย หยุ่นถามเขานั่นคือ ทำไมเขาไม่เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่กลับเป็นโอบามา เขาเสียใจมั้ยที่เกิดเร็วเกินไป
เขาบอกว่า “มันเป็นจังหวะเวลา ณ เวลานั้นสหรัฐยังไม่ยอมรับคนผิวสี มีปัญหาความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติค่อนข้างมาก แต่เขาไม่เสียใจที่เกิดมาเร็ว เกิดมาในช่วงนั้น แต่กลับภูมิใจที่เขาเป็นผู้หว่านเมล็ดให้ผู้คนในสังคมเริ่มยอมรับมากขึ้น โอบามายังเคยฟังเขาปาฐกถา ในตอนนนั้นโอบามาก็เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วเขาทำให้โอบามาเชื่อมั่นในความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะต้องมีความเท่าเทียมกันในประเทศสหรัฐอเมริกา” แล้ววันนี้ความเชื่อของเขาก็เป็นจริงที่มีโอบามาเป็นประธานาธิปดีผิวสีคนแรกของสหรัฐ (ประเทศที่เคยมีสงครามแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิวมาก่อน)
“ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมความเชื่อและศาสนา เหมือนผ้านวมผืนใหญ่ ที่ประกอบด้วยเศษผ้าชิ้ นเล็กๆ มาเรียงร้อยต่อกันด้วยด้ายเส้นเดียว” - สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน -
“Jesse Jackson ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "with a positive attitude, it is far easier to keep hope alive" - ด้วยทัศนคติในเชิงบวกเท่านั้นที่เป็นการง่ายที่สุดในการรักษาความหวังให้คงอยู่ ดังนั้น เราควรมีทัศนะคติในเชิงบวก มีความหวังต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ที่สื่อมักสร้างแต่ทัศนคติในเชิงลบจนดูเหมือนว่าสังคมสิ้นหวังหดหู่ ในขณะที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมายในเชิงบวกที่กำลังดำเนินไป เช่น การเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กิจกรรมสร้างสันติภาพในหมู่เด็กๆ ความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างชุมชน ระหว่างศาสนิกต่างๆ เป็นต้น (จากเว๊บไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)”
หมายเหตุ
GBS เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลายโดยสาเหตุเกิดจาก มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดการทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ดังนั้นอวัยวะที่เส้นประสาทส่วนปลายเหล่านั้นเลี้ยงจะสูญเสียหน้าที่การทำงานไป ดังเช่นมีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ อาการชา อาการเดินเซ เป็นต้นอาการของโรคนี้จะมีอาการตามเส้นประสาทที่ไปเลี้ยง อาการที่พบได้แก่ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยมักมีการกระจายไม่เท่ากันทั้งสองข้าง อาการอ่อนแรงเป็นที่แขนขา โดยมีอาการส่วนปลายมากกว่าส่วนต้น อาการชาปลายมือปลายเท้า ลักษณะอาการชามือบางครั้งลามมาถึงข้อมือคล้ายสวมถุงมือถุงเท้า โดยการกระจายของอาการชามักเป็นที่เท้าก่อนกระจายมาที่ปลายมือ 2 ข้างอาการอ่อนแรงใบหน้า มีอาการหลับตาไม่สนิท อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ กลืนอาหารลำบากอาการดังกล่าวเป็นอย่างรวดเร็ว เป็นวันและมีอาการเพิ่มมากขึ้นภายในสัปดาห์แล้วแต่ความรุนแรง และมักมีอาการคงที่ในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะคงที่และดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจผิดปกติ ดังนั้นผู้ป่วยอาจเสียชีวิตเนื่องจากการหายใจล้มเหลวอากาจมีอาการถ่ายเหลวนำมาก่อน หรือมีไข้
สาเหตุของเส้นประสาทผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเราซึ่งในภาวะปกติจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเราและอวัยวะภายในร่างกายของเรานั้นเกิดความผิดปกติ โดยจะทำลายเส้นประสาทของเรา สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันหันมาทำลายเส้นประสาทของตัวเองนั้นเกิดจาก การที่ร่างกายเกิดการติดเชื้อบางชนิด เช่น Campilobactor jejuni, CMV, Mycoplasma pneumoniae โดยเมื่อร่างกายติดเชื้อเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าผู้ป่วยจะแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการก็ตาม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เชื้อเหล่านี้ดันมีลักษณะบางชนิดที่คล้ายเส้นประสาท ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราเกิดจำผิดขึ้นว่าเส้นประสาทของเราก็เป็นเชื้อโรคด้วย ทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย
ป้ายกำกับ: ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ, สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน, guillain barre syndrome, Jesse Jackson
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อ่านแล้ว อยากบอกว่า...
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก