artisan

ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: กรุงเทพฯ, Thailand

ฉันเป็นคนความจำสั้นน่ะ เหมือนเมมโมรี่สมองมันเกือบเต็มแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่นี้แล้ว บางครั้งสมองก็ Auto Delete เพื่อความสบายตัวของหัวสมองเอง ดังนั้นฉันจึงต้องบันทึกการเดินทาง ชีวิตและความคิด... บางส่วนไว้... เพื่อกันลืม และเผื่อมีใครอยากอ่าน อยากรับรู้บ้าง...ฉันก็ยินดี sharkyja@yahoo.com

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลาดน้ำในกรุง...มีจริงๆ เหยอ

ตลาดน้ำตลิ่งชัน

วันนี้มีโอกาสได้พาชาวต่างชาติไปเที่ยวตลาดน้ำตลิ่งชัน (จริงๆ แล้ว มีคนอาสาพาไป แต่ปรากฏว่าเขาไม่ว่าง จึงโทรศัพท์มาให้ฉันช่วยพาไปแทน พอดีฉันว่าง ฉันก็เลยรับอาสาพาไปแทน)

ฉันเคยไปตลาดนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นร้านค้าต่างๆ ไม่มากเท่านี้ และตลาดวายเร็วมาก แค่เที่ยงๆ บ่ายๆ ก็ไม่มีร้าน ไม่มีคน ไม่มีเรือพายมาขายแล้ว ตอนนั้นคนยังไม่ค่อยฮิตเที่ยวตลาด ก็ตั้งแต่มีรายการ "ตลาดสดสนามเป้า" คนก็แห่ไปเที่ยวตามซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากเพระทำให้ตลาดคึกคัก ขยายเวลาขายนานกว่าเดิม (ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นแน่ะ) ร้านค้าต่างๆ ก็มากกว่าเดิม สมกับคำขวญ "เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก" จริงๆ
และที่สำคัญมีทัวร์พาล่องคลองด้วย มีทัวร์สามแบบ คือ 1. รอบแรก 9.30 น. พาเที่ยว สามตลาดน้ำ (สี่เขตเชียวนะ) ราคา 99 บาท (อันนี้รายการตลาดสดสนามเป้าเขาเพิ่งออกรายการมา คนฮิตกันน่าดู ฉันก็ไม่รู้หรอก เห็นเจ้าหน้าที่ที่ซุ้มขายตั๋วเขาบอกมา) 2. ล่องเรือเที่ยวชมสวนกล้วยไม้ รอบ 11 โมง ราคา 90 บาท 3. พาไปเที่ยวสวนงู รอบบ่ายครึ่ง ราคา 150 บาท


ทางเข้าก็เจอป้ายสำนักงานเขตตลิ่งชัน แล้วก็เดินชมซุ้มขายผัก ผลไม้ ต้นไม้ ขนม น้ำดื่มสารพัดหลากหลายให้ลองชิม แล้วก็สุดทางไปเจอแพร้านอาหาร แล้วก็เห็นป้ายตลาดน้ำตลิ่งชัน แล้วก็ข้อมูลของตลาดน้ำ
รูปข้างล่างเนี้ยะ เป็นผักผลไม้ ดอกไม้ที่เขาขายข้างทางน่ะ มีผักพื้นบ้านแปลกๆ อีกเพียบ อันนี้ฉันว่าแปลกดี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ก็เลยเอามาให้ดูกัน



ส่วนอันนี้สวยดี (ไม่ต้องไปดูถึงฟาร์มก็ได้เนอะ)



วันนี้ฉันไปถึงที่ตลาดน้ำนี้ตั้งแต่แปดโมง (มาเร็วไปหน่อย) ก็เลยซื้อทัวร์รอบแรกกัน แต่ขอบอกเลยนะว่า คนเยอะทุกรอบ เรือเต็มตลอด น่าปลื้มใจแทนชาวชุมชนจริงๆ ที่มีคนมาเที่ยวกันมากมาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (ถึงแม้จะยังไม่พัฒนาถึงระดับที่มีภาษาอังกฤษในทุกๆ ส่วนก็ตาม แต่หากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มาชมก็น่าจะถูกใจนะ หากเบื่อพวกห้างสรรพสินค้ากับพวกแหล่งท่องเที่ยวดังๆ ทั้งหลายน่ะ)
ล่องเรือชมบ้านไม้ริมคลอง สถาปัตยกรรมโบราณตามวัดวาอารมต่างๆ ก็ถึงจุดหมายแรกคือ ตลาดน้ำคลองลัดยม เขามีควายเป็นๆ ตั้งสองตัว ไว้ให้นักท่องเที่ยวขี่และถ่ายรูปด้วยนะ เดินเข้ามาก็มีตลาดขายของทั้งของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของเล่น แล้วก็ของกิน (ขายชุดนอนแบบสมัยใหม่ด้วยนะ ไม่ใช่เสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงนะ แต่เป็นชุดนอนลายการ์ตูนทั้งหลายน่ะ ก็เลยงงๆ ว่ามันเข้ากับตลาดน้ำตรงไหนเนี่ยยยยยยยยย)
เดินไปเดินมาก็เห็นเขามีห้องสมุดชุมชนด้วย น่ารักดี ข้างๆ ห้องสมุดก็มีสวนเนี้ยะ เขาติดป้ายไว้ว่า "สวนเจียมตน" (จะเข้าไปก็เจียมตนหน่อยนะ) ข้างในก็มีของขาย แล้วก็สวนผลไม้ ต้นไม้ให้ชมเล่นๆ




แล้วก็แวะจุดที่สองที่วัดสะพานหัน เพื่อให้เข้าวัดไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน อาทิ ปล่อยสัตว์น้ำทั้งหลาย ถวายสังฆทาน มีร้านอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทาน

แล้วก็ถึงจุดที่สาม จำชื่อไม่ได้เพราะจุดนี้เขาไม่ได้ปล่อยให้ขึ้นท่า เขาแค่จอดเรือให้อุดหนุนซื้อขนมปังเพื่อเลี้ยงปลาจากบนเรือแบบใกล้ชิด ใครจะหยอดเข้าปากปลาเลยก็ทำได้ ปลาที่นี่เชื่องมาก เพราะมีคนให้กินแบบนี้บ่อย ๆ และปลาก็เยอะมากจนมันเบียดกันน้ำสาดกระเซ็นทำเสื้อเปียกกันเลย



ระหว่างล่องเรือไกด์เขาก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่มีหยุด ขอบอกว่า non stop จริงๆ มีบางช่วงพูดภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติฟังได้ด้วยนะ
ฉันชอบที่เขาเล่าให้ฟังว่า มีลูกค้ามีซื้อทัวร์เรือเที่ยวตลาดน้ำเนี่ยแหละ แล้วก็ผ่านหลังบ้านตัวเอง โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าบ้านตัวเองเนี่ยมีเส้นทางน้ำมาถึงตลาดน้ำด้วย ขำ...

อีกเรื่อง คือเรื่องของเจ้าของที่แถวนั้น ขายที่ดินให้นายทุนทำสนามกอล์ฟ ช่วงที่ดินราคาดี ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยดี แต่ปัจจุบันนี้ดอกเบี้ยน้อย ไม่พอใช้ จึงต้องมารับจ้างเป็นยามเฝ้าสนามกอล์ฟบนที่ดินที่เคยเป็นของตัวเอง... อันนี้จะขำ หรือจะเศร้าดี

จบทัวร์ รวมเบ็ดเสร็จ เกือบสามชั่วโมง ให้ความรู้สึกคุ้มนะ ตั้งสามชั่วโมงแน่ะ แค่ร้อยเดียว (99 บาท) เที่ยวตั้งสามตลาด ฮ่าๆ
แล้วก็ขึ้นบกมากินข้าวที่แพร้านอาหาร เขามีเด็กเดินโต๊ะ รับออร์เดอร์ สั่งอาหารให้ แล้วมาเสริฟให้ แต่ต้องจ่ายทันทีแต่ละอย่างที่เขาเอามาส่ง มีทุกอย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก หมูสเต๊ะ ส้มตำ น้ำตก คอหมูย่าง
ก็อิ่มหนำก่อนกลับบ้าน

ข้างล่างนี้เป็นจุดที่เขาขายสารพัดสัตว์สำหรับทำบุญปล่อยลงคลอง อาทิ ปล่อยปลาไหล ก็เพื่อการงาน การเงิน จะได้ไหลรื่นไม่ติดขัด, ปล่อยหอยขม เพื่อชีวิตจะได้ห่างไกลความขมขื่น, ปล่อยปลาหมอ จะได้ไม่ต้องพบเจอหมออีกต่อไป (เพื่อสุขภาพแข็งแรง), ปล่อยเต่า ปล่อยตะพาบ อายุจะได้ยืนเหมือนเต่าเหมือน
ตะพาบ และอีกสารพัด (โอย... เหนื่อย ฉันอธิบายความหมายแต่ละอย่างให้ชาวต่างชาติฟัง ก็นึกคำศัพท์แต่ละอย่างแทบขาดใจ)


ทัวร์ครึ่งวันแบบนี้ฉันว่าก็สนุกดี และสบายดีนะ (อากาศและบรรยากาศริมคลองดีมากๆ) ฉันไม่รู้ว่าชาวต่างชาติที่ฉันพาไปน่ะ จะประทับใจแค่ไหน แต่ตัวฉันเองน่ะ ชอบทีเดียวนะ ไว้นานๆ มาเยี่ยมใหม่นะ
(สำหรับอาหารที่แพ ฉันว่าก็งั้นๆ นะ ราคาสูงนิดหนึ่ง ฉันแนะนำว่าให้ซื้อขนมแปลกๆ ที่เราไม่ค่อยได้กิน กับผัก ผลไม้ ข้างทางกินดีกว่า สนุกกว่า)

ป้ายกำกับ: , ,

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

positive attitude

ทัศนคติเชิงบวก... เจ๋งๆ


เมื่อวานก่อน (วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552) ดูรายการโทรทัศน์ 3 รายการ รู้สึกสะดุดใจกับเนื้อหาดี ๆ (ใครว่าดูทีวีมากๆ ไม่ดี ใคร๊บอกกกกกกกกกกกก)
หนึ่งคือ รายการ "เจาะใจ" เขาสัมภาษณ์น้องที่เคยเป็นโรค GBS (Guillain - Barré syndrome) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วทำไปทำลายประสาทสั่งการ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่ประสาทส่วนบนปกติดี ทั้งสมอง การมองเห็น การได้ยิน แต่พูดไม่ได้ กระพริบตาได้อย่างเดียว จึงต้องสื่อสารด้วยการกระพริบตาทีละตัวอักษร คือให้เลือกระดานพยัญชนะ และกระดาษสระและตัวเลข (เหมือนนักเขียนในหนังสือ “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” ของสนพ. ผีเสื้อ หมายถึงใช้วิธีการเดียวกันในการสื่อสาร แต่น้องเขาเป็นคนละโรคกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ - ไว้ฉันเขียนถึงคราวต่อไปละกัน)




กว่าจะได้แต่คำแต่ละประโยค เหนื่อยทีเดียว แค่เราพิมพ์ตัวอักษรยังรู้สึกว่าช้ากว่าพูด ไม่ทันใจ สื่อสารแบบน้องคนนี้คงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แล้วน้องเขาก็เกือบเสียชีวิต เพราะใจไม่อยากมีชีวิต จึงส่งผลให้ร่างกายแย่ลงจนไม่ยอมให้ร่างกายรับเครื่องช่วยหายใจ หมอจึงเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ น้องจึงคิดได้ว่าในเมื่อไม่ตายก็ต้องมีชีวิตให้ดีที่สุด จึงพยายามฝึกจิตให้บังคับเส้นประสาทร่างกาย เช่น คิดว่าจะขยับเข่าให้ได้ ฝึกเป็นเดือน ร่างกายจึงตอบสนองมีเส้นประสาทกระตุกเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณเริ่มแรกว่าน้องจะหาย
แล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง น้องหายจากโรคร้ายนี้จนสามารถกลับมาเรียนต่อได้จนจบนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เกียรตินิยมด้วย แล้วน้องเขาก็ให้ข้อคิดอีกว่า ครั้งแรกที่เขาหายจากโรคจนสามารถกินข้าวได้ (ก่อนหน้านี้ต้องให้อาหารทางสายยางเข้าจมูก) เขารับรู้ได้ถึงความอร่อยของเม็ดข้าวแต่ละเม็ด ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจ...
เรื่องราวของน้องคนนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่เรามีชีวิตที่ร่างกายสมบูรณ์ในแต่ละวันได้รับรู้ความรื่นรมย์ สัมผัสสิ่งต่างรอบตัวได้ทุกวัน นับว่าเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว หากแม้ความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยจิตใจที่คิดแต่ด้านดีๆ ของชีวิต

สองคือ รายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” เขาฉายภาพอุบัติเหตุจากสี่แยกร้อยศพ เป็นสี่แยกใหญ่ที่คนมักขับรถฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ของตัวเองที่เคยขับรถฝ่าไฟเหลือง (เป็นแยกใหญ่ และถนนค่อนข้างว่าง ไม่มีรถ แยกแบบนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด) แล้วมีมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงมาพุ่งชน (โชคดีที่เขาก็ผิด เป็นรถฝ่าไฟแดง เพราะฉันผ่าแค่ไฟเหลือง แต่จริงๆ แล้วก็ผิดนะ) โชคดีทั้งสำหรับฉันและสำหรับเขา คือ เขาไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร (ปาฏิหาริย์มาก เพราะฉันว่าชนแรงทีเดียวละนะ รถฉันพังไปครึ่งคัน กระโปรงหน้ายุบ หม้อน้ำแตก วิ่งต่อไม่ได้เลย ต้องเรียกรถลากไปส่งอู่เลยทีเดียว มอเตอร์ไซค์น้องเขาก็ไถลเลยแยกไปไกลมาก) รอเขาไปเอ็กซเรย์และพบหมอแล้ว เขาก็ไม่เป็นอะไร เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดที่ไปทำลายชีวิตเขา และตัวฉันเองก็อาจจะต้องมีความผิดทางกฎหมาย แต่ทั้งหมดก็คลี่คลายลงได้ด้วยดี โดยน้องเขาไม่เป็นอะไร และฉันก็แค่เสียค่าซ่อมรถเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา ฉันก็ไม่เคยขับรถเร็วและผ่าไฟแดงหรือไฟเหลืองอีกเลย (ก็ไม่รู้ว่าจะเร็วไปทำไม อย่างไรก็ถึง ดีกว่าไปไม่ถึงนะ ฉันว่า)

สามคือ “ชีพจรโลก กับสุทธิชัย หยุ่น” สัมภาษณ์ สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน
ชอบประโยคที่เขาบอกให้เด็กๆ ยืนขึ้นและพูดตาม “ I am somebody” คือเน้นย้ำว่าทุกคนสำคัญ ทุกชีวิตสำคัญ ตัวเราสำคัญ คนอื่นก็สำคัญ ให้ความเคารพกับผู้อื่น เน้นเรื่องความรักและะสันติภาพ
คำถามสุดท้ายที่สุทธิชัย หยุ่นถามเขานั่นคือ ทำไมเขาไม่เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่กลับเป็นโอบามา เขาเสียใจมั้ยที่เกิดเร็วเกินไป
เขาบอกว่า “มันเป็นจังหวะเวลา ณ เวลานั้นสหรัฐยังไม่ยอมรับคนผิวสี มีปัญหาความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติค่อนข้างมาก แต่เขาไม่เสียใจที่เกิดมาเร็ว เกิดมาในช่วงนั้น แต่กลับภูมิใจที่เขาเป็นผู้หว่านเมล็ดให้ผู้คนในสังคมเริ่มยอมรับมากขึ้น โอบามายังเคยฟังเขาปาฐกถา ในตอนนนั้นโอบามาก็เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วเขาทำให้โอบามาเชื่อมั่นในความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะต้องมีความเท่าเทียมกันในประเทศสหรัฐอเมริกา” แล้ววันนี้ความเชื่อของเขาก็เป็นจริงที่มีโอบามาเป็นประธานาธิปดีผิวสีคนแรกของสหรัฐ (ประเทศที่เคยมีสงครามแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิวมาก่อน)
“ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมความเชื่อและศาสนา เหมือนผ้านวมผืนใหญ่ ที่ประกอบด้วยเศษผ้าชิ้ นเล็กๆ มาเรียงร้อยต่อกันด้วยด้ายเส้นเดียว” - สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน -


“Jesse Jackson ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "with a positive attitude, it is far easier to keep hope alive" - ด้วยทัศนคติในเชิงบวกเท่านั้นที่เป็นการง่ายที่สุดในการรักษาความหวังให้คงอยู่ ดังนั้น เราควรมีทัศนะคติในเชิงบวก มีความหวังต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ที่สื่อมักสร้างแต่ทัศนคติในเชิงลบจนดูเหมือนว่าสังคมสิ้นหวังหดหู่ ในขณะที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมายในเชิงบวกที่กำลังดำเนินไป เช่น การเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กิจกรรมสร้างสันติภาพในหมู่เด็กๆ ความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างชุมชน ระหว่างศาสนิกต่างๆ เป็นต้น (จากเว๊บไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)”

หมายเหตุ
GBS
เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลายโดยสาเหตุเกิดจาก มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดการทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ดังนั้นอวัยวะที่เส้นประสาทส่วนปลายเหล่านั้นเลี้ยงจะสูญเสียหน้าที่การทำงานไป ดังเช่นมีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ อาการชา อาการเดินเซ เป็นต้นอาการของโรคนี้จะมีอาการตามเส้นประสาทที่ไปเลี้ยง อาการที่พบได้แก่ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยมักมีการกระจายไม่เท่ากันทั้งสองข้าง อาการอ่อนแรงเป็นที่แขนขา โดยมีอาการส่วนปลายมากกว่าส่วนต้น อาการชาปลายมือปลายเท้า ลักษณะอาการชามือบางครั้งลามมาถึงข้อมือคล้ายสวมถุงมือถุงเท้า โดยการกระจายของอาการชามักเป็นที่เท้าก่อนกระจายมาที่ปลายมือ 2 ข้างอาการอ่อนแรงใบหน้า มีอาการหลับตาไม่สนิท อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ กลืนอาหารลำบากอาการดังกล่าวเป็นอย่างรวดเร็ว เป็นวันและมีอาการเพิ่มมากขึ้นภายในสัปดาห์แล้วแต่ความรุนแรง และมักมีอาการคงที่ในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะคงที่และดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจผิดปกติ ดังนั้นผู้ป่วยอาจเสียชีวิตเนื่องจากการหายใจล้มเหลวอากาจมีอาการถ่ายเหลวนำมาก่อน หรือมีไข้
สาเหตุของเส้นประสาทผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเราซึ่งในภาวะปกติจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเราและอวัยวะภายในร่างกายของเรานั้นเกิดความผิดปกติ โดยจะทำลายเส้นประสาทของเรา สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันหันมาทำลายเส้นประสาทของตัวเองนั้นเกิดจาก การที่ร่างกายเกิดการติดเชื้อบางชนิด เช่น Campilobactor jejuni, CMV, Mycoplasma pneumoniae โดยเมื่อร่างกายติดเชื้อเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าผู้ป่วยจะแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการก็ตาม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เชื้อเหล่านี้ดันมีลักษณะบางชนิดที่คล้ายเส้นประสาท ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราเกิดจำผิดขึ้นว่าเส้นประสาทของเราก็เป็นเชื้อโรคด้วย ทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย

ป้ายกำกับ: , , ,

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เที่ยว (ร้านอาหาร) เมดิเตอร์เรเนียน

เคยอ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่า “เราสามารถเรียนรู้ชีวิต และเปิดโลกกว้างได้ด้วย หนังสือ ภาพยนตร์ และท่องโลก (เที่ยว)”
ฉันก็ทำมาหมดแล้วล่ะ ทั้งอ่านหนังสือ และดูดีวีดีภาพยนตร์ดีๆ มากมายทุกวัน
ส่วนเที่ยวนี่ก็แล้วแต่วาระและโอกาส
แต่บางวันฉันก็รู้สึกเหงา รู้สึกขาดแรงบันดาลใจ ขาดสิ่งแปลกใหม่
ฉันจึงรีบหาตัวช่วยจากสิ่งมีชีวิตทันที โดยการส่งอีเมล์หาเพื่อนๆ ที่เคยร่วมงานกันมา (เป็นกลุ่มเพื่อนที่เจอแล้วรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอกัน ที่สำคัญคือ นัดรวมตัวกันไม่ยากเท่าไร) เพื่อนัดรวมตัวกัน โดยฉันย้ำไปว่า นัดกินข้าวกัน ร้านไม่ต้องหรู เพราะไม่มีตังค์
ช่วงนี้เศรษฐกิจถดถอย จะกินข้าวนอกบ้านทีก็หมดไปหลายร้อย หรือเป็นพัน (ก็ออกนอกบ้าน ก็ต้องมีการซื้อของอยากอื่นด้วยนั่นแล)
ถึงแม้รายได้น้อยแต่ต้องไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ฉันไม่ยอมให้ “รักแท้แพ้กาลเวลา” หรือ “รักแท้แพ้เงินตรา” เด็ดขาด
มิตรภาพเราต้องคงอยู่ด้วยการนัดเจอกัน เพื่อเม้าท์กัน แลกเปลี่ยนสารทุข์สุขดิบ อัพเดทชีวิตและข่าวคราวกัน
ย้ำ! ร้านไม่แพง… จะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนนฉันก็ยินดี
แล้วเราก็ได้ที่เหมาะสม นั่นคือใจกลางเมือง Central World นั่นเอง ร้านเป้าหมายคือ “Olivie”
อ่านว่า โอลิวิเย่
เพราะมีอักซองข้างบนตัวอี เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
ชื่อร้านเต็มๆ เขาคือ Olivie Mediterranean & Well-Being Cuisine

อาหารเมดิเตอร์เรเนียน ก็คือ อาหารของประเทศที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean sea) อันได้แก่ กรีก ตุรกี อิตาลี สเปน โปรตุเกส และทางตอนใต้ของฝรั่งเศสก็นับนะ
หากเปิดดูแผนที่ก็จะพบว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นกินอาณาเขตกว้างขวางตลอดพื้นที่ตอนล่างของทวีปยุโรป ไปถึงตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ชายฝั่งส่วนใหญ่ของประเทศกรีซ บางส่วนของทวีปแอฟริกาตอนเหนือ โดยเฉพาะโมร็อกโกและตูนีเซีย บางส่วนของตุรกี (โอย... อยากไปทั้งนั้นเลยอ่ะ) และบางส่วนของคาบสมุทรบอลข่าน ได้แก่ เลบานอน และซีเรีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่การเพาะปลูกมะกอกและผลิตน้ำมันมะกอกในย่านเมดิเตอร์เรเนียน


เป็นที่ทราบกันดีว่าชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดนิยม โดยเฉพาะเมืองตากอากาศทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและอิตาลี อย่างแคว้นโพรวองซ์ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากนอกจากสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเจริญหูเจริญตา และอาหารอร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขอายุยืนกันถ้วนหน้า

บรรยากาศของร้านก็ให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ดูเรียบง่าย สบายๆ แต่น่ารักด้วยโทนสีฟ้าอ่อนและขาว ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งริมทะเล (เมดิเตอร์เรเนียน) จริงๆ (หากไปกินบ่อยๆ จะอายุยืนเหมือนอยู่ริมชายทะเลเมดิตอร์เรเนียนมั้ยเนี่ย)




ฉันชอบกินชีส ขนมปัง เครป อาหารทะเล และผักอยู่แล้ว อาหารร้านนี้จึงถูกใจฉันทุกจานเลย โดยเฉพาะ “ทูโทน” คล้ายๆ ลาซันญ่าคือ มีผักโขม (ผักสปิแนช) กับเห็ด และชีส (อร่อยมั่กๆ ไม่เลี่ยนด้วย ไม่เหมือนที่ร้านฟาสฟู้ดทั่วไปนะ)


และก็พิซซ่า...บางกรอบ
พนักงานก็ให้บริการดีทีเดียว ทั้งแนะนำอาหารอร่อย และก็ตามใจ ... เพราะพวกเราอยากกินพิซซ่าสองหน้าในถาดเดียว เขาก็รับทำให้ด้วยนะ
ชมมากแล้ว พอดีกว่า... อ้อ ! แนะนำอีกนิด
คือ น้ำอโวคาโดปั่น (สมูทตี้) ก็อร่อยนะ เพราะไม่ค่อยมีให้สั่งตามร้านทั่วไป (เขาเติมน้ำมะนาวด้วย ช่วยทำให้มีรสชาติมาก เพราะปกติอโวคาโดจะจืดๆ มันๆ ธรรมดา แต่นี่หวานเปรี้ยวมัน... อร่อย (มีคุณค่าด้วย) อันนี้ชิมของเพื่อนน่ะ ฉันสั่งสตอเบอร์รี่ปั่น เพราะไม่มั่นใจในรสชาติอโวคาโดที่เขาจะปั่นออกมา แต่รับรองว่าถ้ามาคราวหน้าฉันสั่งอโวคาโดแน่นอน
นัดกินข้าวกันครั้งนี้ได้ครบทุกความต้องการเลยอ่ะ...
คุยกับเพื่อนถูกคอ อาหารถูกปาก บรรยากาศถูกใจ ที่สำคัญกระเป๋าตังค์ไม่แฟบเท่าไร...
(รูปจากเว๊ปไซด์)

ป้ายกำกับ: , , ,