artisan

ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: กรุงเทพฯ, Thailand

ฉันเป็นคนความจำสั้นน่ะ เหมือนเมมโมรี่สมองมันเกือบเต็มแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่นี้แล้ว บางครั้งสมองก็ Auto Delete เพื่อความสบายตัวของหัวสมองเอง ดังนั้นฉันจึงต้องบันทึกการเดินทาง ชีวิตและความคิด... บางส่วนไว้... เพื่อกันลืม และเผื่อมีใครอยากอ่าน อยากรับรู้บ้าง...ฉันก็ยินดี sharkyja@yahoo.com

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้ค่การกิน - หอย (3)

หอยคาง - หอยคราง หอยแครง - ครางแครงใจ

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ฉันมีธุระต้องขับรถไปศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ขาไปใช้เส้นมอเตอร์เวย์
ขากลับใช้เส้นทางด่วนบางนา
ก่อนขึ้นทางด่วน เห็นแผงขายหอย
ใช่! หอยอีกแล้วครับพี่น้อง เป็นหอยที่ทำให้รู้สึกครางแครงใจเป็นอย่างสูง


เขาติดป้ายไว้ว่า “หอยคาง 3โล 100 บ.” แล้วก็มีตัวเล็กๆ เขียนอีกว่า “หอยแครง หอยแมลงภู่”
ฉันก็สงสัยยิ่งนักว่า “หอยคาง” คืออะไร ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน
มันเป็นญาติกับหอยแครงแน่ๆ
จะว่าแม่ค้าเขียนป้ายผิดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเห็นหลายเจ้ามากๆ
เรียกว่าถนนตลอดเส้นนั้น มีเกือบสิบแผงได้
ฉันจึงกลับมาหาข้อมูลให้รู้ให้ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ลองชิมเถอะนะ
เอ้า… เรามาดูกันว่า “หอยคาง” มันเป็นหยังหว่า ???

หอยคราง (แต่แม่ค้าสะกด หอยคาง ไม่มีรอเรือ) อยู่ในตระกลูหอยแครง (จริงๆ ด้วย มันเป็นญาติกันแต่จะเป็นพี่หรือเป็นพ่อนี่ก็แล้วแต่ขนาดมันน่ะนะ)
ตัวใหญ่กว่าหอยแครงมาก เป็นหอยทะเลที่อาศัยตามแนวหินปะการัง (ไม่เหมือนหอยแครง ที่อาศัยอยู่ตามแนวดินโคลน) เป็นหอย 2 ฝา มีขนอยู่ที่เปลือกหอยหรือบริเวณปากหอย ขอบเปลือกจะเป็นรอยหยัก เหมือนฟันปลา มีสีขาวบ้าง ชมพูบ้าง สีเขียวก็มี ส่วนมากจะหาหอยครางได้ในช่วงน้ำแห้งงวดของเดือนที่พระเข้าพรรษา เนื้อในจะอวบอ้วน และจะมีไข่สีแดงน่ากิน
ทำอาหารได้หลายชนิด เช่น พล่าหอยคราง, หอยครางเผา, ผัดเผ็ดหอยคราง, แกงหอยครางกับต้นข่าอ่อน, ยำหรือลวกก็ได้ แต่เขาจะใช้วิธีเผามากกว่าลวก และอีกสารพัดเมนู
เขาว่ากันว่าเนื้ออร่อยสู้หอยแครงไม่ได้ จะออกเหนียวกว่าและไม่กรอบเหมือนหอยแครง
คนไม่รู้จะนึกว่าเป็นหอยแครงตัวใหญ่กว่าปกติ
ที่มา:http://www.sangdad.com/

สมองเมมโมรี่ไว้นะ... คราวหน้า ฉันไม่พลาดที่จะจอดซื้อมาลองแน่นอน
อื้ม...อร่อย (รึเปล่า)
จบเรื่องหอย... วันนี้แต่เพียงเท่านี้

ป้ายกำกับ: , ,

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้คู่การใช้เงิน US. (2)







เงินตราสหรัฐ
ต่อนะ

10 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Alexander Hamilton" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "U.S. Treasury "
(เริ่มหนื่อย เพราะแต่ละท่านประวัติช่างมากมาย มีคุณูประการแก่ประเทศอเมริกาอเนกอนันต์ใส่ไม่หมดอ่ะ)
อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) เกิดในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 หรือ 1757 และเสียชีวิตในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (United States Secretary of the Treasury) คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลหนึ่งในคณะผู้ก่อการของประเทศสหรัฐ (a Founding Father) นักเศรษฐศาสตร์ (economist) นักปรัชญาการเมือง (political philosopher) เขาเป็นคนเรียกให้มีการประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (the Philadelphia Convention) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศใหม่ เป็นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญคนแรก เป็นคนเขียนแนวคิดเกี่ยวกับระบบมีรัฐบาลกลาง (Federalist Papers) และเป็นผู้ตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่สำคัญ (Constitutional interpretation)
เมื่อนายพลจอร์จ วอชิงตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ เขาได้รับบทบาทเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีบทบาทอย่างสูงในคณะรัฐมนตรีของวอชิงตัน

5 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Abraham Lincoln" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "Lincoln Memorial"
ท่านนี้สำคัญอย่างไรคิดว่าใครก็คงทราบกันดีนั่นคือการออกมาตราการในการเลิกทาส เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถูกยิงเสียชีวิต กลางสหรัฐในสงครามกลางเมืองอเมริกัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง

อับราฮัม ลินคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน

1 Dollar = 100 Cents
ด้านหน้า : รูป "George Washington" เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "The Great Seal "
“จอร์จ วอชิงตัน ได้รับสมญานามว่า ผู้ให้กำเนิดสหรัฐอเมริกา หรือบิดาแห่งสหรัฐอเมริกา ”
กล่าวถึงการเริ่มต้นของการรวมตัวระหว่างอาณานิคมอเมริกันเพื่อต่อต้านจักรภพอังกฤษคงจะไม่ประสบผลสำเร็จหากไม่มีผู้นำเช่นเขา เพราะด้วยสภาพของพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลในแต่ละรัฐของอเมริกา นั้นมีขนาดใหญ่เท่าประเทศหนึ่งเลยทีเดียว และต่างตั้งตัวเป็นเอกเทศ จอร์จ วอชิงตันเป็นคนที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจ จนนำไปสู่การปฏิบัติตามในสิ่งที่เขาคิด ที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้องสำหรับอนาคตของคนอเมริกัน เพราะในช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคนอเมริกันว่าจะเลือกเดินทางไปทางไหนดี ระหว่างการจะปกครองตนเองด้วยระบอบกษัตริย์แบบดั้งเดิมที่มีกันมา หรือเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย จะอย่างไรก็ตามคงด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของเขาทำให้เขาเลือกที่จะให้สหรัฐอเมริกามีการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งในตอนนั้นถือว่ายังไม่มีประเทศใดในโลกนี้เลยที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นการยากมากที่จะทำให้ประเทศที่เต็มไปด้วยอาณานิคมที่ปกครองตอนเองอย่างเป็นอิสระหันหน้ามาร่วมมือกัน
อันเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในโลกมาจนทุกวันนี้ บรรดานักปราชญ์จัดอันดับให้วอชิงตันเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อนุสาวรีย์ของเขาตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงวอชิงตัน นครหลวงของสหรัฐอเมริกา หน้าตึกแคปปิตอล ซึ่งเป็นรูปโดมเป็นที่ตั้งของสภาคองเกรสและศาลสูงสุด สร้างเป็นรูปเสาสี่เหลี่ยม ปลายแหลม มองเห็นได้อย่างสง่างามในปัจจุบัน ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญควอเตอร์ (25 เซนต์) เพื่อให้คนอเมริกันตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์นานาประการที่เขาทำเพื่อชนชาวอเมริกัน

ส่วนด้านหลังของแบงค์ 1 ดอลล่าห์นี้มีเรื่องเล่ามากมายให้เรียนรู้กัน
บนธนบัตร 1 ดอลลาร์ ของสหรัฐอเมริกา มีภาพและข้อความที่น่าฉงนอยู่หลายอย่างทีเดียว เช่น พีระมิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ดวงตาเหนือพีระมิด ลูกศรและกิ่งไม้ในกรงเล็บของนกอินทรี รวมทั้งวลีภาษาละตินอีกหลายคำ ลองมาดูความหมายอันล้ำลึกของสัญลักษณ์เหล่านี้กัน
พีระมิดที่สร้างไม่เสร็จ บ่งว่าสหรัฐอเมริกายังอยู่ในช่วงการก่อร่างสร้างประเทศ สอดคล้องกับรูปดวงอาทิตย์สว่างๆ หลังรูปตาซึ่งเป็นดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้น หมายถึงว่าประเทศใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ส่วนเงาของพีระมิดหมายถึงดินแดนทางตะวันตกที่ยังบุกไปไม่ถึง กปราชญ์ด้านเทพปกรณัมชาวอเมริกันชื่อ โจเซฟ แคมพ์เบลล์ ขยายความไว้ว่า พีระมิดองค์หนึ่งมีสี่ด้าน คือทิศสี่ทิศ ถ้ามองที่ระดับพื้น คนอเมริกันจะอยู่ทางทิศใดทิศหนึ่ง แต่หากดูที่ยอด ทุกทิศจะมาบรรจบกัน และ ณ ที่นั้น พระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าก็จะปรากฏขึ้น! พระผู้เป็นเจ้าที่ว่านี้เป็นเทพเจ้าแห่งเหตุผล เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของเหตุผล คำว่า IN GOD WE TRUST หรือ “เราเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า” หมายถึงว่า คนอเมริกันรุ่นแรกที่สร้างชาติขึ้นมา เชื่อว่าจิตของมนุษย์ที่ปราศจากมลทินล้วนสามารถใช้เหตุผล จึงสามารถเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าแห่งเหตุผลได้ และนี่ก็คือหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยนั่นเอง
วลีภาษาละตินใต้พีระมิด คือ “Novus Ordo Seclorum” หมายถึง “ระเบียบใหม่ (ของโลก) แห่งยุคสมัย” ส่วนวลีด้านบน “Annuit Coeptis” หมายความว่า “พระองค์ทรงเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของพวกเรา” านหลังของพีระมิดเป็นทะเลทราย ส่วนด้านหน้าเป็นต้นไม้ที่กำลังเติบโต ทะเลทรายคือสงครามและความวุ่นวายในยุโรป คนอเมริกันได้หลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้นมาสร้างรัฐยังดินแดนใหม่ด้วยเหตุด้วยผล
นกอินทรี ตามคติของเทพปกรณัมกรีกเป็นนกแห่งเทพเจ้าซูส (Zeus) นกคือรูปแบบหนึ่งในการสำแดงพระรูปของเทพเจ้า พระองค์เสด็จลงมายังโลกแห่งทวิภาวะ ซึ่งภาวะหนึ่งคือ สันติภาพ อีกภาวะหนึ่งคือสงคราม ดังนั้น กรงเล็บข้างหนึ่งของนกอินทรีจะมีช่อลอเรล (laurel) แทนหลักแห่งการเจรจาอย่างสันติ ส่วนกรงเล็บอีกข้างหนึ่งมีลูกศร แทนหลักแห่งสงคราม โล่ทางด้านหน้าของนกอินทรีลอยอยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ หมายความว่า อเมริกาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองโดยใช้ระบบรัฐสภา นกอินทรีมองไปในทิศทางของใบลอเรล หมายความว่า สหรัฐอเมริกาจะพยายามใช้วิถีทางแห่งสันติในการจัดการความขัดแย้ง แต่ถ้าไม่ได้ผล อเมริกาก็พร้อมที่จะใช้กำลัง! เหนือหัวของนกอินทรีมีดาว 13 ดวง เรียงอยู่ในรูปของดวงดาวแห่งเดวิด (Star of David) และหากย้อนไปนับแถบแนวดิ่งบนโล่ จะพบว่ามี 13 แถบ ใบบนช่อลอเรลในกรงเล็บขวามี 13 ใบ ลูกศรในกรงเล็บซ้ายมี 13 ดอก ส่วนพีระมิดก็มีทั้งสิ้น 13 ชั้น!
(อ่านแล้วก็งงๆ ว่าอะไรจะต้องมีสัญลักษณ์มากมายขนาดนั้น ก็แล้วแต่คนจะคิดค้นกันได้ล่ะน่า อีกทั้งจำนวนเลข 13 ด้วย คล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่อง 23 ที่หากเราคิดว่ามันเกี่ยวโยงกัน มันก็จะเกี่ยวโยงกันนั่นแหละ)

ป้ายกำกับ: , ,

ความรู้คู่การใช้เงิน US. (1)

เงินตราสหรัฐอเมริกา (1)

เมื่อวันประกาศผลรางวัลออสการ์ กุมภาพันธ์ปี 2009 ฉันมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ Slumdog Millionaire หนึ่งในคำถามเกมเศรรษฐีนั้นคือ บนแบงค์ 100 ดออล่าห์เป็นรูปใคร แล้วพระเอกก็ตอบได้ถูกต้องเพราะผ่านประสบการณ์ที่ทำให้จดจำได้ไม่มีวันลืม ฉันก็ลองตอบอยู่ในใจ เอ... ฉันนึกหน้าตาคนที่อยู่บนแบงค์ออกนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครน่ะสิ เพราะเห็นและใช้อยู่บ่อยๆ ตอนอยู่อเมริกา แต่ไม่เคยสนใจว่าบนแบงค์นั้นเป็นรูปใครบ้าง จำได้แต่อับราฮัม ลินคอร์นกับจอร์จ วอชิงตัน (จริงๆ แล้วคนอเมริกันก็ไม่ค่อยใช้เงินสดกันหรอกนะ ใช้กันแต่บัตรเครดิต ใครถือแบงค์ร้อยไปซื้อของเนี่ย แปลกประหลาดมาก เขาจะรู้เลยว่าคนๆ นี้เป็นพวกนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็แรงงานต่างชาติ)
เอาล่ะ วันนี้ฉันจึงมานั่งเรียนรู้กันสักหน่อยว่า ไผเป็นไผ! บนแบงค์ (ธนบัตร - ภาษาอังกฤษ เรียกว่า แบงค์โน้ต bank note) อเมริกาเนี่ย

100 Dollars (เป็นแบงค์ใหญ่สุดที่เราจะพบเห็นในชีวิตประจำวัน จริงๆ แล้วมีแบงค์พันด้วย แต่เป็นแบงค์พิเศษ ไม่ค่อยมีคนใช้หรอก)
ด้านหน้า : รูป "Benjamin Franklin" เป็นหนึ่งในรัฐบุรุษแห่งอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "Independence Hall"

เบนจามิน แฟรงกินเป็นไผ??? ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาคงจะเป็นหนึ่งในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐ และจะต้องเป็นประธานาธิปดีที่สำคัญมากด้วยแน่ๆ ถึงอยู่บนแบงค์ใหญ่สุดที่เขาใช้ๆ กัน แต่จากการหาข้อมูลแล้วไม่ใช่อะ เขาเป็นรัฐบุรุษที่มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกามาก

“If you would not be forgotten, as soon as you are dead and rotten, either write
things worth reading, or do things worth the writing” ~ Ben. Franklin

และเบ็นจามิน ก็ได้ใช้ชีวิตสมดังคำคมที่เขาเป็นผู้เขียนขึ้นมา ไม่เพียงแต่การเขียน หากใด้ลงมือทำมากยิ่งกว่า
ทั้งต่อประเทศบ้านเกิดและสังคมโลก ซึ่งยังคงใช้แนวคิดของเขาอยู่ทุกวันนี้ อเมริกาไม่เคยลืมเบ็นจามิน
แฟรงคลิน ผู้เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์, นักประดิษฐ์, นักการเมืองการปกครอง, ช่างพิมพ์, นักปรัชญา, นักดนตรี,
และนักเศรษฐศาสตร์

เบ็นจามิน เกิดวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1706 ที่เมืองบอสตัน แต่เมืองที่ถือว่าเป็นบ้านของเขาคือ เมืองฟิลาเดลเฟีย ร่างของเขาฝังอยู่ที่นี่, อนุสาวรีย์รำลึกถึงเบ็นจามิน ก็อยู่ที่นี่ รวมทั้ง The Franklin Institute Science Museum เขาสู้ชีวิตมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปลอนดอน ประเทศอังกฤษจนกลับมาตั้งกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือและหนังสือพิมพ์ และตัวเขาเองก็เขียนหนังสือด้วย มีวลียอดฮิตจากหนังสือที่ใครๆ ก็รู้จักคือ “A penny saved is a penny earned” อีกทั้งเขายังช่วยเหลือชุมชน รณรงค์ให้มีการสร้างถนนถาวรในเมือง, การทำความสะอาด, และการให้แสงสว่างตามท้องถนนในยามค่ำคืน, เป็นผู้รณรงค์ให้รักษา สิ่งแวดล้อม ที่สำคัญก็คือได้ก่อตั้งบริษัท Library Company ในปีค.ศ.1731 ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญใน
การเกิดห้องสมุดในเวลาต่อมา เพราะในสมัยนั้นหนังสือเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีราคาแพง คนธรรมดาเป็น
เจ้าของได้ยาก แต่เบ็นจามินได้รวบรวมแหล่งและผู้คนได้มากพอที่ทำให้สามารถซื้อหนังสือจากอังกฤษได้
ปีค.ศ.1743 ได้ก่อตั้งสมาคม American Philosophical Society เป็นสมาคมการเรียนรู้แห่งแรก
ในประเทศ และปีค.ศ.1751 ได้ร่วมกับชาวเมืองสร้างโรงพยาบาลขึ้นชื่อ Pennsylvania Hospital
องค์กรทั้งสามยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
เป็นนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกด้วย
เมืองฟิลาเดลเฟียมักเกิดไฟไหม้อยู่เสมอ เบ็นจามินจึงพยายามหาวิธีป้องกัน ประดิษฐ์สายล่อฟ้า และก่อตั้งหน่วยดับเพลิงเป็นครั้งแรกเรียกว่า Philadelphia’s Union Fire Company โดยมีคำขวัญในการทำงานว่า “An ounce of prevention is worth a pound of cure” เพราะเขาพบว่าไฟไหม้แต่ละครั้งนำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย เขาจึงได้ก่อตั้งกองทุนประกันภัยไฟไหม้ด้วย Philadelphia Contribution for Insurance Against Loss by Fire ใครที่มีประกันไฟ เมื่อเจอไฟไหม้ก็ไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว นอกจากนี้เขายังประดิษฐ์ เครื่องทำความร้อนในบ้าน (Franklin Stove), ประดิษฐ์ ตีนกบ (Swim fins), ฮาโมนิก้าทำด้วยแก้ว, แว่นตาชนิดซ้อนกัน ดูได้ทั้งระยะใกล้และไกล (bifocals) และอีกมากมาย
เบ็นจามินเริ่มสนใจการเมืองการปกครองและได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนรัฐเพ็นซิลวาเนียไปอยู่ประเทศอังกฤษในฐานะตัวแทนไม่เพียงแต่ของรัฐเพ็นซิลวาเนีย เท่านั้นแต่ยังเป็นตัวแทนของรัฐจอร์เจีย, รัฐนิวเจอร์ซี่, และรัฐแมสซาจูเซ็ตด้วย (สมัยนั้นสหรัฐอเมริกายังเป็ฯอาณษนิคมของอังกฤษ) เบ็นจามินอยู่ที่อังกฤษจนถึงปีค.ศ.1775 ได้รู้เห็นความล้มเกลวและการทุจริตในราชสำนักโดยตลอด เมื่อได้รับรู้กระแสการต่อต้านของชาวอาณานิคม ทำให้เบ็นจามินเริ่มคิดจริงจัง เรื่องที่ชาวอาณานิคมควรแยกตัวเป็นอิสระ เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว เบ็นจามินก็เริ่มต้นทำตามความคิดของตัวเองโดยการเริ่มรวบรวมผู้คนที่คิด
เหมือนๆกันในรัฐต่างๆ ในที่สุดเขาก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปร่วมการประชุม Second Continental
Congress และเป็นหนึ่งในห้าคนของผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพ (Draft the Declaration of
Independence) แม้ว่าการเขียนส่วนใหญ่จะทำโดย Thomas Jefferson แต่ความคิดส่วนใหญ่
เป็นของ Benjamin Franklin หลังจากนั้นเขาได้เป็นเอกอัครทูตของสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศฝรั่งเศส
ผลงานสำคัญชิ้นสุดท้ายที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจากการเขียนของเบ็นจามินก็คือกฎหมายต่อต้านการมีทาส (Anti- Slavery Treatise) ในปีค.ศ.1789
เบ็นจามิน ถึงแก่กรรมในปีต่อมา วันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1790 เมื่ออายุได้ 84 ปี

ธนบัตรใบละร้อย มีชื่อเล่นมากมาย จะยกตัวอย่างสัก สองสามชื่อ Benjamin, Benjie, Frank
และรุ่นล่าสุดมีชื่อเล่นว่า Bigface (เพราะว่าหน้าใหญ่สุดกว่าหน้าใครๆ ในแต่ละแบงค์)

โห! แค่แบงค์เดียวนะนี่ ยังยาวขนาดนี้ อ้อ... ด้านหลังของแบงค์นี้จึงเป็น Independence Hall ที่เมืองฟิลาเดเฟีย รัฐเพ็นซิลวาเนีย แบบไม่ต้องอธิบายล่ะว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ (ดีใจนะเนี่ย ที่ฉํนเคยได้ไปยลเมืองนี้ และไปชมระฆังแห่งเสรีภาพมาแล้ว เข้าใจล่ะว่า... เสียงระฆังแห่งเสรีภาพไพเราะและกังวานขนาดไหน)

เอ้า... แบงค์ต่อไป
50 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Ulysses S. Grant" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 18 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "D.C. Capital" (หมายถึง United States Capitol ที่อยู่ใน Washington, D.C.)
ประธานาธิบดีท่านนี้เกิดที่ Ohio แต่เรียนที่ New York ถึงแก่กรรมและฝังร่างที่ New York
เป็นประธานาธิบดีที่เคยเป็นทหารยศสูงมาก่อน และเป็นบุคลสำคัญในการออกกฎหมายความเท่าเทียมกันของคนในชาติ (ที่ต่างเชื้อชาติ) Civil Right Act of 1871 ในยุคที่มีความขดแย้งทางด้านชาติพันธุ์และสีผิว (สงครามกลางเมือง เหนือ-ใต้)
ต่อไปเป็นแบงค์ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน (อย่างที่บอก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครจ่ายด้วยแบงค์ร้อยกันหรอก)

20 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Andrew Jackson" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "The White House"
แอนดรูว์ แจ็กสัน รัฐบุรุษอเมริกันและประธานาธิบดีคนที่ 7 แห่งสหรัฐอเมริกา เกิดที่เมืองแวกซ์ฮอว์ รัฐเซาท์แคโรไลนา จบการศึกษาด้านกฎหมายและได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาจากรัฐเทนเนสซี ในปี พ.ศ. 2364 แอนดรูว์ แจ็กสันดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐฟลอริดาฝ่ายทหาร ต่อมาในช่วงเวลาสงครามต่อสู้กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2355 แอนดรูว์ แจ็กสันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอเมริกันส่วนใต้ ชื่อเสียงอันโด่งของแอนดรูว์ แจ็กสันเริ่มจากสงครามเมื่อครั้งที่รบกับอินเดียนแดงที่ครีก และมีชื่อเสียงมากขึ้นอีกครั้งจาการได้ชัยชนะต่อกองทัพอังกฤษที่นิวออร์ลีนส์ (พ.ศ. 2358) เหตุผลสำคัญที่ทำให้แอนดรูว์ แจ็กสันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเนื่องมาจากการได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาแบบใหม่ที่เรียกกันภายหลังว่า “ประชาธิปไตยแจ็กสัน” (Jacksonian democracy)
ยังไม่จบ ยังมีต่อตอนสองจ้ะ

ป้ายกำกับ: , , , , ,

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้คู่การกิน...หอย (2)

ว่าด้วยเรื่องหอย... หอย ที่ฉันชอบ (2)
จากตอนที่แล้วที่ฉันเขียนถึงหอย Geoduck อ่านว่า Goo wee duk กูอี้ดั๊ก เมื่อมันเป็นซาชิมิ ในอาหารญี่ปุ่น มันมีชื่อว่า Mirugai
หน้าตาเวลาอยู่ในจานจะน่ากินมาก


ส่วนอีกหอยหนึ่งที่ฉันชอบ รู้จักเมื่อมันเป็นอาหารญี่ปุ่นอีกนั่นแหละ คือหอยปีกนก ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Hokkigai ชื่อภาษาอังกฤษคือ Surf Calm มันคือประเภทหอยสองฝา หรือ หอยตลับบ้านเรานั่นเอง (ประเภทเดียวกับหอยลอยนั่นแล) หน้าตามันเป็นอย่างนี้จ้า



แปลกเนอะ หอยปีกนกเนี่ย แพงเชียวนะ เวลามันอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ทำไมหอยตลับ ขายตามตลาดสดหรือตามข้างถนน มันกิโลละแค่ไม่กี่บาทเองอ่ะ มันสายพันธุ์เดียวกันแท้ๆ เลยนะ แค่ต่างสัญชาติแค่นั้นเองอ่ะ มันต่างกันราวฟ้ากับทรายเลย

ฉันเคยทำซูชิมาแล้วบ้างด้วยความจำเป็นบางประการ ทำให้พอรู้จักซูชิ อาหารญี่ปุ่นบางอย่าง อีกหนึ่งหอยที่เป็นซูชิ หรือซาชิมิ นั่นคือ Abalone หรือหอยเป๋าฮื้อนั่นเอง มีชื่อเป็นภาษาญุี่ปุ่นคือ Awabi อันนี้เป็นสุดยอดหอยที่ฉันชอบอีกหนึ่งชนิด (เมืองไทยก็มีฟาร์มหอยเป๋าฮื้ออยู่มากทางภาคใต้ อาทิ ภูเก็ต)


หน้าตาตอนมันเป็นๆ เนี่ย ทำเอาฉันไม่ค่อยอยากจะกินมันเลยอ่ะ แต่พอมันอยู่ในจาน หรืออยู่ในปากและในท้องแล้วเนี่ย สุดยอดดดดดดดดดดดดดด...


แต่คนอเมริกันไม่ค่อยชอบลองของแปลก ไม่ค่อยรู้จักหอยแปลกๆ เมนูหอย Abalone นี้จึงไม่เป็นที่นิยมในร้านที่ฉันเคยทำงานอยู่สักเท่าไร

ส่วนหอยเบสิค ๆ ที่รู้จักกันดี ก็คือ Scallop หรือหอยเชลล์ ภาษาญี่ปุ่นเรียก Hotate ก็อร่อย
แล้วก็หอยนางรม หรือ Oyster ภาษาญี่ปุ่นเรียก Kaki (สองหอยนี้ฝรั่งรู้จักดี)

อ้อ... มีอีกหนึ่งหอยที่ได้ลองกินเมื่อมันมาเป็นหน้าซูชิ นั่นคือ Uni หรือ Sea Urchin หรือไข่หอยเม่น นั่นเอง



เคยอ่านเจอ เขาบอกว่า มันไม่ใช่หอย มันคือตระกูลเดียวกับพวกปลาดาว (ที่ไม่ใช่ปลา) และที่เรียกกันว่าไข่ จริงๆ แล้วก็คือเนื้อมันนั่นเอง ฉันกินแล้วก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก มันเป็นเหมือนไข่ปลา หรือ ไข่อะไรสักอย่าง คือมันนิ่มๆน่ะ มันไม่เหนียวนุ่ม เหมือนเนื้อหอยทั่วไป (ก็เพราะมันไม่ใช่หอยน่ะสิ) ฉันก็เลยไม่จัดมันอยู่ในรายการหอยโปรดของฉัน
เมนู uni เนี่ย ฝรั่งกะญี่ปุ่นชอบมากเลย (แต่ต้องเป็นฝรั่งเมืองใหญ่ๆ อย่างนิวยอร์กนะ)
ส่วนเม่นทะเลบ้านเราก็เหมือนกัน เขาว่ากินได้
นี่คือ Code มาจากเว๊บบอร์ด pantip น่ะ
"ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นเป็นผู้สอน เจ้าเม่นดำขนยาวนี่แหละครับ จับมาแล้วใส่ในเข่งไม้ไผ่ เขย่าแรงๆ ในน้ำทะเล เขนเม่นเมื่อถูกับผิวเข่งจะค่อยหายไปหมด เหลือ แต่ตัวกลมๆ หลังจากนั้นเอามาผ่าจากข้างบนลงล่าง จะได้เป็นกลีบๆ ข้างในจะมีเห็นรังไข่สีแดงเป็นพูๆ ใช้ปากคีบคีบใส่จานเป็นชิ้นๆ เวลาทานก้อเอาไข่เม่นราดกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือวาซาบิ ว่ากันว่ากินแล้วมีพลังดีนักแล"
เห็นบอกว่า ที่สมุยก็นำมายำ แบบไทยๆ เนี่ยแหละ แต่ทำไม มันไม่ขึ้นชื่อแล้วก็แพงแบบซูชิล่ะ (อีกแล้วๆ)
ปล. เขาว่าทะเลที่มีหอยเม่นมาก ๆ แสดงว่าน้ำไม่สะอาดแล้วล่ะ
แล้วก็หากมีคนนิยมจับมันมากินมากๆ ก็อาจสูญพันธุ์หรือหายากแบบหอยมือเสือนะ
จบเรื่องหอย... วันนี้แต่เพียงเท่านี้

ป้ายกำกับ: , , , , , , , ,