artisan

ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: กรุงเทพฯ, Thailand

ฉันเป็นคนความจำสั้นน่ะ เหมือนเมมโมรี่สมองมันเกือบเต็มแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่นี้แล้ว บางครั้งสมองก็ Auto Delete เพื่อความสบายตัวของหัวสมองเอง ดังนั้นฉันจึงต้องบันทึกการเดินทาง ชีวิตและความคิด... บางส่วนไว้... เพื่อกันลืม และเผื่อมีใครอยากอ่าน อยากรับรู้บ้าง...ฉันก็ยินดี sharkyja@yahoo.com

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลาดน้ำในกรุง...มีจริงๆ เหยอ

ตลาดน้ำตลิ่งชัน

วันนี้มีโอกาสได้พาชาวต่างชาติไปเที่ยวตลาดน้ำตลิ่งชัน (จริงๆ แล้ว มีคนอาสาพาไป แต่ปรากฏว่าเขาไม่ว่าง จึงโทรศัพท์มาให้ฉันช่วยพาไปแทน พอดีฉันว่าง ฉันก็เลยรับอาสาพาไปแทน)

ฉันเคยไปตลาดนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นร้านค้าต่างๆ ไม่มากเท่านี้ และตลาดวายเร็วมาก แค่เที่ยงๆ บ่ายๆ ก็ไม่มีร้าน ไม่มีคน ไม่มีเรือพายมาขายแล้ว ตอนนั้นคนยังไม่ค่อยฮิตเที่ยวตลาด ก็ตั้งแต่มีรายการ "ตลาดสดสนามเป้า" คนก็แห่ไปเที่ยวตามซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากเพระทำให้ตลาดคึกคัก ขยายเวลาขายนานกว่าเดิม (ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นแน่ะ) ร้านค้าต่างๆ ก็มากกว่าเดิม สมกับคำขวญ "เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก" จริงๆ
และที่สำคัญมีทัวร์พาล่องคลองด้วย มีทัวร์สามแบบ คือ 1. รอบแรก 9.30 น. พาเที่ยว สามตลาดน้ำ (สี่เขตเชียวนะ) ราคา 99 บาท (อันนี้รายการตลาดสดสนามเป้าเขาเพิ่งออกรายการมา คนฮิตกันน่าดู ฉันก็ไม่รู้หรอก เห็นเจ้าหน้าที่ที่ซุ้มขายตั๋วเขาบอกมา) 2. ล่องเรือเที่ยวชมสวนกล้วยไม้ รอบ 11 โมง ราคา 90 บาท 3. พาไปเที่ยวสวนงู รอบบ่ายครึ่ง ราคา 150 บาท


ทางเข้าก็เจอป้ายสำนักงานเขตตลิ่งชัน แล้วก็เดินชมซุ้มขายผัก ผลไม้ ต้นไม้ ขนม น้ำดื่มสารพัดหลากหลายให้ลองชิม แล้วก็สุดทางไปเจอแพร้านอาหาร แล้วก็เห็นป้ายตลาดน้ำตลิ่งชัน แล้วก็ข้อมูลของตลาดน้ำ
รูปข้างล่างเนี้ยะ เป็นผักผลไม้ ดอกไม้ที่เขาขายข้างทางน่ะ มีผักพื้นบ้านแปลกๆ อีกเพียบ อันนี้ฉันว่าแปลกดี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ก็เลยเอามาให้ดูกัน



ส่วนอันนี้สวยดี (ไม่ต้องไปดูถึงฟาร์มก็ได้เนอะ)



วันนี้ฉันไปถึงที่ตลาดน้ำนี้ตั้งแต่แปดโมง (มาเร็วไปหน่อย) ก็เลยซื้อทัวร์รอบแรกกัน แต่ขอบอกเลยนะว่า คนเยอะทุกรอบ เรือเต็มตลอด น่าปลื้มใจแทนชาวชุมชนจริงๆ ที่มีคนมาเที่ยวกันมากมาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (ถึงแม้จะยังไม่พัฒนาถึงระดับที่มีภาษาอังกฤษในทุกๆ ส่วนก็ตาม แต่หากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มาชมก็น่าจะถูกใจนะ หากเบื่อพวกห้างสรรพสินค้ากับพวกแหล่งท่องเที่ยวดังๆ ทั้งหลายน่ะ)
ล่องเรือชมบ้านไม้ริมคลอง สถาปัตยกรรมโบราณตามวัดวาอารมต่างๆ ก็ถึงจุดหมายแรกคือ ตลาดน้ำคลองลัดยม เขามีควายเป็นๆ ตั้งสองตัว ไว้ให้นักท่องเที่ยวขี่และถ่ายรูปด้วยนะ เดินเข้ามาก็มีตลาดขายของทั้งของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของเล่น แล้วก็ของกิน (ขายชุดนอนแบบสมัยใหม่ด้วยนะ ไม่ใช่เสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงนะ แต่เป็นชุดนอนลายการ์ตูนทั้งหลายน่ะ ก็เลยงงๆ ว่ามันเข้ากับตลาดน้ำตรงไหนเนี่ยยยยยยยยย)
เดินไปเดินมาก็เห็นเขามีห้องสมุดชุมชนด้วย น่ารักดี ข้างๆ ห้องสมุดก็มีสวนเนี้ยะ เขาติดป้ายไว้ว่า "สวนเจียมตน" (จะเข้าไปก็เจียมตนหน่อยนะ) ข้างในก็มีของขาย แล้วก็สวนผลไม้ ต้นไม้ให้ชมเล่นๆ




แล้วก็แวะจุดที่สองที่วัดสะพานหัน เพื่อให้เข้าวัดไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน อาทิ ปล่อยสัตว์น้ำทั้งหลาย ถวายสังฆทาน มีร้านอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทาน

แล้วก็ถึงจุดที่สาม จำชื่อไม่ได้เพราะจุดนี้เขาไม่ได้ปล่อยให้ขึ้นท่า เขาแค่จอดเรือให้อุดหนุนซื้อขนมปังเพื่อเลี้ยงปลาจากบนเรือแบบใกล้ชิด ใครจะหยอดเข้าปากปลาเลยก็ทำได้ ปลาที่นี่เชื่องมาก เพราะมีคนให้กินแบบนี้บ่อย ๆ และปลาก็เยอะมากจนมันเบียดกันน้ำสาดกระเซ็นทำเสื้อเปียกกันเลย



ระหว่างล่องเรือไกด์เขาก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่มีหยุด ขอบอกว่า non stop จริงๆ มีบางช่วงพูดภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติฟังได้ด้วยนะ
ฉันชอบที่เขาเล่าให้ฟังว่า มีลูกค้ามีซื้อทัวร์เรือเที่ยวตลาดน้ำเนี่ยแหละ แล้วก็ผ่านหลังบ้านตัวเอง โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าบ้านตัวเองเนี่ยมีเส้นทางน้ำมาถึงตลาดน้ำด้วย ขำ...

อีกเรื่อง คือเรื่องของเจ้าของที่แถวนั้น ขายที่ดินให้นายทุนทำสนามกอล์ฟ ช่วงที่ดินราคาดี ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยดี แต่ปัจจุบันนี้ดอกเบี้ยน้อย ไม่พอใช้ จึงต้องมารับจ้างเป็นยามเฝ้าสนามกอล์ฟบนที่ดินที่เคยเป็นของตัวเอง... อันนี้จะขำ หรือจะเศร้าดี

จบทัวร์ รวมเบ็ดเสร็จ เกือบสามชั่วโมง ให้ความรู้สึกคุ้มนะ ตั้งสามชั่วโมงแน่ะ แค่ร้อยเดียว (99 บาท) เที่ยวตั้งสามตลาด ฮ่าๆ
แล้วก็ขึ้นบกมากินข้าวที่แพร้านอาหาร เขามีเด็กเดินโต๊ะ รับออร์เดอร์ สั่งอาหารให้ แล้วมาเสริฟให้ แต่ต้องจ่ายทันทีแต่ละอย่างที่เขาเอามาส่ง มีทุกอย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก หมูสเต๊ะ ส้มตำ น้ำตก คอหมูย่าง
ก็อิ่มหนำก่อนกลับบ้าน

ข้างล่างนี้เป็นจุดที่เขาขายสารพัดสัตว์สำหรับทำบุญปล่อยลงคลอง อาทิ ปล่อยปลาไหล ก็เพื่อการงาน การเงิน จะได้ไหลรื่นไม่ติดขัด, ปล่อยหอยขม เพื่อชีวิตจะได้ห่างไกลความขมขื่น, ปล่อยปลาหมอ จะได้ไม่ต้องพบเจอหมออีกต่อไป (เพื่อสุขภาพแข็งแรง), ปล่อยเต่า ปล่อยตะพาบ อายุจะได้ยืนเหมือนเต่าเหมือน
ตะพาบ และอีกสารพัด (โอย... เหนื่อย ฉันอธิบายความหมายแต่ละอย่างให้ชาวต่างชาติฟัง ก็นึกคำศัพท์แต่ละอย่างแทบขาดใจ)


ทัวร์ครึ่งวันแบบนี้ฉันว่าก็สนุกดี และสบายดีนะ (อากาศและบรรยากาศริมคลองดีมากๆ) ฉันไม่รู้ว่าชาวต่างชาติที่ฉันพาไปน่ะ จะประทับใจแค่ไหน แต่ตัวฉันเองน่ะ ชอบทีเดียวนะ ไว้นานๆ มาเยี่ยมใหม่นะ
(สำหรับอาหารที่แพ ฉันว่าก็งั้นๆ นะ ราคาสูงนิดหนึ่ง ฉันแนะนำว่าให้ซื้อขนมแปลกๆ ที่เราไม่ค่อยได้กิน กับผัก ผลไม้ ข้างทางกินดีกว่า สนุกกว่า)

ป้ายกำกับ: , ,

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

positive attitude

ทัศนคติเชิงบวก... เจ๋งๆ


เมื่อวานก่อน (วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552) ดูรายการโทรทัศน์ 3 รายการ รู้สึกสะดุดใจกับเนื้อหาดี ๆ (ใครว่าดูทีวีมากๆ ไม่ดี ใคร๊บอกกกกกกกกกกกก)
หนึ่งคือ รายการ "เจาะใจ" เขาสัมภาษณ์น้องที่เคยเป็นโรค GBS (Guillain - Barré syndrome) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วทำไปทำลายประสาทสั่งการ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่ประสาทส่วนบนปกติดี ทั้งสมอง การมองเห็น การได้ยิน แต่พูดไม่ได้ กระพริบตาได้อย่างเดียว จึงต้องสื่อสารด้วยการกระพริบตาทีละตัวอักษร คือให้เลือกระดานพยัญชนะ และกระดาษสระและตัวเลข (เหมือนนักเขียนในหนังสือ “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” ของสนพ. ผีเสื้อ หมายถึงใช้วิธีการเดียวกันในการสื่อสาร แต่น้องเขาเป็นคนละโรคกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ - ไว้ฉันเขียนถึงคราวต่อไปละกัน)




กว่าจะได้แต่คำแต่ละประโยค เหนื่อยทีเดียว แค่เราพิมพ์ตัวอักษรยังรู้สึกว่าช้ากว่าพูด ไม่ทันใจ สื่อสารแบบน้องคนนี้คงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แล้วน้องเขาก็เกือบเสียชีวิต เพราะใจไม่อยากมีชีวิต จึงส่งผลให้ร่างกายแย่ลงจนไม่ยอมให้ร่างกายรับเครื่องช่วยหายใจ หมอจึงเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ น้องจึงคิดได้ว่าในเมื่อไม่ตายก็ต้องมีชีวิตให้ดีที่สุด จึงพยายามฝึกจิตให้บังคับเส้นประสาทร่างกาย เช่น คิดว่าจะขยับเข่าให้ได้ ฝึกเป็นเดือน ร่างกายจึงตอบสนองมีเส้นประสาทกระตุกเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณเริ่มแรกว่าน้องจะหาย
แล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง น้องหายจากโรคร้ายนี้จนสามารถกลับมาเรียนต่อได้จนจบนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เกียรตินิยมด้วย แล้วน้องเขาก็ให้ข้อคิดอีกว่า ครั้งแรกที่เขาหายจากโรคจนสามารถกินข้าวได้ (ก่อนหน้านี้ต้องให้อาหารทางสายยางเข้าจมูก) เขารับรู้ได้ถึงความอร่อยของเม็ดข้าวแต่ละเม็ด ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจ...
เรื่องราวของน้องคนนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่เรามีชีวิตที่ร่างกายสมบูรณ์ในแต่ละวันได้รับรู้ความรื่นรมย์ สัมผัสสิ่งต่างรอบตัวได้ทุกวัน นับว่าเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว หากแม้ความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยจิตใจที่คิดแต่ด้านดีๆ ของชีวิต

สองคือ รายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” เขาฉายภาพอุบัติเหตุจากสี่แยกร้อยศพ เป็นสี่แยกใหญ่ที่คนมักขับรถฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ของตัวเองที่เคยขับรถฝ่าไฟเหลือง (เป็นแยกใหญ่ และถนนค่อนข้างว่าง ไม่มีรถ แยกแบบนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด) แล้วมีมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงมาพุ่งชน (โชคดีที่เขาก็ผิด เป็นรถฝ่าไฟแดง เพราะฉันผ่าแค่ไฟเหลือง แต่จริงๆ แล้วก็ผิดนะ) โชคดีทั้งสำหรับฉันและสำหรับเขา คือ เขาไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร (ปาฏิหาริย์มาก เพราะฉันว่าชนแรงทีเดียวละนะ รถฉันพังไปครึ่งคัน กระโปรงหน้ายุบ หม้อน้ำแตก วิ่งต่อไม่ได้เลย ต้องเรียกรถลากไปส่งอู่เลยทีเดียว มอเตอร์ไซค์น้องเขาก็ไถลเลยแยกไปไกลมาก) รอเขาไปเอ็กซเรย์และพบหมอแล้ว เขาก็ไม่เป็นอะไร เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดที่ไปทำลายชีวิตเขา และตัวฉันเองก็อาจจะต้องมีความผิดทางกฎหมาย แต่ทั้งหมดก็คลี่คลายลงได้ด้วยดี โดยน้องเขาไม่เป็นอะไร และฉันก็แค่เสียค่าซ่อมรถเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา ฉันก็ไม่เคยขับรถเร็วและผ่าไฟแดงหรือไฟเหลืองอีกเลย (ก็ไม่รู้ว่าจะเร็วไปทำไม อย่างไรก็ถึง ดีกว่าไปไม่ถึงนะ ฉันว่า)

สามคือ “ชีพจรโลก กับสุทธิชัย หยุ่น” สัมภาษณ์ สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน
ชอบประโยคที่เขาบอกให้เด็กๆ ยืนขึ้นและพูดตาม “ I am somebody” คือเน้นย้ำว่าทุกคนสำคัญ ทุกชีวิตสำคัญ ตัวเราสำคัญ คนอื่นก็สำคัญ ให้ความเคารพกับผู้อื่น เน้นเรื่องความรักและะสันติภาพ
คำถามสุดท้ายที่สุทธิชัย หยุ่นถามเขานั่นคือ ทำไมเขาไม่เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่กลับเป็นโอบามา เขาเสียใจมั้ยที่เกิดเร็วเกินไป
เขาบอกว่า “มันเป็นจังหวะเวลา ณ เวลานั้นสหรัฐยังไม่ยอมรับคนผิวสี มีปัญหาความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติค่อนข้างมาก แต่เขาไม่เสียใจที่เกิดมาเร็ว เกิดมาในช่วงนั้น แต่กลับภูมิใจที่เขาเป็นผู้หว่านเมล็ดให้ผู้คนในสังคมเริ่มยอมรับมากขึ้น โอบามายังเคยฟังเขาปาฐกถา ในตอนนนั้นโอบามาก็เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วเขาทำให้โอบามาเชื่อมั่นในความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะต้องมีความเท่าเทียมกันในประเทศสหรัฐอเมริกา” แล้ววันนี้ความเชื่อของเขาก็เป็นจริงที่มีโอบามาเป็นประธานาธิปดีผิวสีคนแรกของสหรัฐ (ประเทศที่เคยมีสงครามแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิวมาก่อน)
“ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมความเชื่อและศาสนา เหมือนผ้านวมผืนใหญ่ ที่ประกอบด้วยเศษผ้าชิ้ นเล็กๆ มาเรียงร้อยต่อกันด้วยด้ายเส้นเดียว” - สาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน -


“Jesse Jackson ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "with a positive attitude, it is far easier to keep hope alive" - ด้วยทัศนคติในเชิงบวกเท่านั้นที่เป็นการง่ายที่สุดในการรักษาความหวังให้คงอยู่ ดังนั้น เราควรมีทัศนะคติในเชิงบวก มีความหวังต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ที่สื่อมักสร้างแต่ทัศนคติในเชิงลบจนดูเหมือนว่าสังคมสิ้นหวังหดหู่ ในขณะที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมายในเชิงบวกที่กำลังดำเนินไป เช่น การเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กิจกรรมสร้างสันติภาพในหมู่เด็กๆ ความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างชุมชน ระหว่างศาสนิกต่างๆ เป็นต้น (จากเว๊บไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)”

หมายเหตุ
GBS
เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลายโดยสาเหตุเกิดจาก มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดการทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ดังนั้นอวัยวะที่เส้นประสาทส่วนปลายเหล่านั้นเลี้ยงจะสูญเสียหน้าที่การทำงานไป ดังเช่นมีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ อาการชา อาการเดินเซ เป็นต้นอาการของโรคนี้จะมีอาการตามเส้นประสาทที่ไปเลี้ยง อาการที่พบได้แก่ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยมักมีการกระจายไม่เท่ากันทั้งสองข้าง อาการอ่อนแรงเป็นที่แขนขา โดยมีอาการส่วนปลายมากกว่าส่วนต้น อาการชาปลายมือปลายเท้า ลักษณะอาการชามือบางครั้งลามมาถึงข้อมือคล้ายสวมถุงมือถุงเท้า โดยการกระจายของอาการชามักเป็นที่เท้าก่อนกระจายมาที่ปลายมือ 2 ข้างอาการอ่อนแรงใบหน้า มีอาการหลับตาไม่สนิท อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ กลืนอาหารลำบากอาการดังกล่าวเป็นอย่างรวดเร็ว เป็นวันและมีอาการเพิ่มมากขึ้นภายในสัปดาห์แล้วแต่ความรุนแรง และมักมีอาการคงที่ในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะคงที่และดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจผิดปกติ ดังนั้นผู้ป่วยอาจเสียชีวิตเนื่องจากการหายใจล้มเหลวอากาจมีอาการถ่ายเหลวนำมาก่อน หรือมีไข้
สาเหตุของเส้นประสาทผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเราซึ่งในภาวะปกติจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเราและอวัยวะภายในร่างกายของเรานั้นเกิดความผิดปกติ โดยจะทำลายเส้นประสาทของเรา สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันหันมาทำลายเส้นประสาทของตัวเองนั้นเกิดจาก การที่ร่างกายเกิดการติดเชื้อบางชนิด เช่น Campilobactor jejuni, CMV, Mycoplasma pneumoniae โดยเมื่อร่างกายติดเชื้อเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าผู้ป่วยจะแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการก็ตาม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เชื้อเหล่านี้ดันมีลักษณะบางชนิดที่คล้ายเส้นประสาท ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราเกิดจำผิดขึ้นว่าเส้นประสาทของเราก็เป็นเชื้อโรคด้วย ทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย

ป้ายกำกับ: , , ,

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เที่ยว (ร้านอาหาร) เมดิเตอร์เรเนียน

เคยอ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่า “เราสามารถเรียนรู้ชีวิต และเปิดโลกกว้างได้ด้วย หนังสือ ภาพยนตร์ และท่องโลก (เที่ยว)”
ฉันก็ทำมาหมดแล้วล่ะ ทั้งอ่านหนังสือ และดูดีวีดีภาพยนตร์ดีๆ มากมายทุกวัน
ส่วนเที่ยวนี่ก็แล้วแต่วาระและโอกาส
แต่บางวันฉันก็รู้สึกเหงา รู้สึกขาดแรงบันดาลใจ ขาดสิ่งแปลกใหม่
ฉันจึงรีบหาตัวช่วยจากสิ่งมีชีวิตทันที โดยการส่งอีเมล์หาเพื่อนๆ ที่เคยร่วมงานกันมา (เป็นกลุ่มเพื่อนที่เจอแล้วรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอกัน ที่สำคัญคือ นัดรวมตัวกันไม่ยากเท่าไร) เพื่อนัดรวมตัวกัน โดยฉันย้ำไปว่า นัดกินข้าวกัน ร้านไม่ต้องหรู เพราะไม่มีตังค์
ช่วงนี้เศรษฐกิจถดถอย จะกินข้าวนอกบ้านทีก็หมดไปหลายร้อย หรือเป็นพัน (ก็ออกนอกบ้าน ก็ต้องมีการซื้อของอยากอื่นด้วยนั่นแล)
ถึงแม้รายได้น้อยแต่ต้องไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ฉันไม่ยอมให้ “รักแท้แพ้กาลเวลา” หรือ “รักแท้แพ้เงินตรา” เด็ดขาด
มิตรภาพเราต้องคงอยู่ด้วยการนัดเจอกัน เพื่อเม้าท์กัน แลกเปลี่ยนสารทุข์สุขดิบ อัพเดทชีวิตและข่าวคราวกัน
ย้ำ! ร้านไม่แพง… จะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนนฉันก็ยินดี
แล้วเราก็ได้ที่เหมาะสม นั่นคือใจกลางเมือง Central World นั่นเอง ร้านเป้าหมายคือ “Olivie”
อ่านว่า โอลิวิเย่
เพราะมีอักซองข้างบนตัวอี เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
ชื่อร้านเต็มๆ เขาคือ Olivie Mediterranean & Well-Being Cuisine

อาหารเมดิเตอร์เรเนียน ก็คือ อาหารของประเทศที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean sea) อันได้แก่ กรีก ตุรกี อิตาลี สเปน โปรตุเกส และทางตอนใต้ของฝรั่งเศสก็นับนะ
หากเปิดดูแผนที่ก็จะพบว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นกินอาณาเขตกว้างขวางตลอดพื้นที่ตอนล่างของทวีปยุโรป ไปถึงตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ชายฝั่งส่วนใหญ่ของประเทศกรีซ บางส่วนของทวีปแอฟริกาตอนเหนือ โดยเฉพาะโมร็อกโกและตูนีเซีย บางส่วนของตุรกี (โอย... อยากไปทั้งนั้นเลยอ่ะ) และบางส่วนของคาบสมุทรบอลข่าน ได้แก่ เลบานอน และซีเรีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่การเพาะปลูกมะกอกและผลิตน้ำมันมะกอกในย่านเมดิเตอร์เรเนียน


เป็นที่ทราบกันดีว่าชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดนิยม โดยเฉพาะเมืองตากอากาศทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและอิตาลี อย่างแคว้นโพรวองซ์ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากนอกจากสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเจริญหูเจริญตา และอาหารอร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขอายุยืนกันถ้วนหน้า

บรรยากาศของร้านก็ให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ดูเรียบง่าย สบายๆ แต่น่ารักด้วยโทนสีฟ้าอ่อนและขาว ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งริมทะเล (เมดิเตอร์เรเนียน) จริงๆ (หากไปกินบ่อยๆ จะอายุยืนเหมือนอยู่ริมชายทะเลเมดิตอร์เรเนียนมั้ยเนี่ย)




ฉันชอบกินชีส ขนมปัง เครป อาหารทะเล และผักอยู่แล้ว อาหารร้านนี้จึงถูกใจฉันทุกจานเลย โดยเฉพาะ “ทูโทน” คล้ายๆ ลาซันญ่าคือ มีผักโขม (ผักสปิแนช) กับเห็ด และชีส (อร่อยมั่กๆ ไม่เลี่ยนด้วย ไม่เหมือนที่ร้านฟาสฟู้ดทั่วไปนะ)


และก็พิซซ่า...บางกรอบ
พนักงานก็ให้บริการดีทีเดียว ทั้งแนะนำอาหารอร่อย และก็ตามใจ ... เพราะพวกเราอยากกินพิซซ่าสองหน้าในถาดเดียว เขาก็รับทำให้ด้วยนะ
ชมมากแล้ว พอดีกว่า... อ้อ ! แนะนำอีกนิด
คือ น้ำอโวคาโดปั่น (สมูทตี้) ก็อร่อยนะ เพราะไม่ค่อยมีให้สั่งตามร้านทั่วไป (เขาเติมน้ำมะนาวด้วย ช่วยทำให้มีรสชาติมาก เพราะปกติอโวคาโดจะจืดๆ มันๆ ธรรมดา แต่นี่หวานเปรี้ยวมัน... อร่อย (มีคุณค่าด้วย) อันนี้ชิมของเพื่อนน่ะ ฉันสั่งสตอเบอร์รี่ปั่น เพราะไม่มั่นใจในรสชาติอโวคาโดที่เขาจะปั่นออกมา แต่รับรองว่าถ้ามาคราวหน้าฉันสั่งอโวคาโดแน่นอน
นัดกินข้าวกันครั้งนี้ได้ครบทุกความต้องการเลยอ่ะ...
คุยกับเพื่อนถูกคอ อาหารถูกปาก บรรยากาศถูกใจ ที่สำคัญกระเป๋าตังค์ไม่แฟบเท่าไร...
(รูปจากเว๊ปไซด์)

ป้ายกำกับ: , , ,

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้ค่การกิน - หอย (3)

หอยคาง - หอยคราง หอยแครง - ครางแครงใจ

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ฉันมีธุระต้องขับรถไปศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ขาไปใช้เส้นมอเตอร์เวย์
ขากลับใช้เส้นทางด่วนบางนา
ก่อนขึ้นทางด่วน เห็นแผงขายหอย
ใช่! หอยอีกแล้วครับพี่น้อง เป็นหอยที่ทำให้รู้สึกครางแครงใจเป็นอย่างสูง


เขาติดป้ายไว้ว่า “หอยคาง 3โล 100 บ.” แล้วก็มีตัวเล็กๆ เขียนอีกว่า “หอยแครง หอยแมลงภู่”
ฉันก็สงสัยยิ่งนักว่า “หอยคาง” คืออะไร ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน
มันเป็นญาติกับหอยแครงแน่ๆ
จะว่าแม่ค้าเขียนป้ายผิดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเห็นหลายเจ้ามากๆ
เรียกว่าถนนตลอดเส้นนั้น มีเกือบสิบแผงได้
ฉันจึงกลับมาหาข้อมูลให้รู้ให้ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ลองชิมเถอะนะ
เอ้า… เรามาดูกันว่า “หอยคาง” มันเป็นหยังหว่า ???

หอยคราง (แต่แม่ค้าสะกด หอยคาง ไม่มีรอเรือ) อยู่ในตระกลูหอยแครง (จริงๆ ด้วย มันเป็นญาติกันแต่จะเป็นพี่หรือเป็นพ่อนี่ก็แล้วแต่ขนาดมันน่ะนะ)
ตัวใหญ่กว่าหอยแครงมาก เป็นหอยทะเลที่อาศัยตามแนวหินปะการัง (ไม่เหมือนหอยแครง ที่อาศัยอยู่ตามแนวดินโคลน) เป็นหอย 2 ฝา มีขนอยู่ที่เปลือกหอยหรือบริเวณปากหอย ขอบเปลือกจะเป็นรอยหยัก เหมือนฟันปลา มีสีขาวบ้าง ชมพูบ้าง สีเขียวก็มี ส่วนมากจะหาหอยครางได้ในช่วงน้ำแห้งงวดของเดือนที่พระเข้าพรรษา เนื้อในจะอวบอ้วน และจะมีไข่สีแดงน่ากิน
ทำอาหารได้หลายชนิด เช่น พล่าหอยคราง, หอยครางเผา, ผัดเผ็ดหอยคราง, แกงหอยครางกับต้นข่าอ่อน, ยำหรือลวกก็ได้ แต่เขาจะใช้วิธีเผามากกว่าลวก และอีกสารพัดเมนู
เขาว่ากันว่าเนื้ออร่อยสู้หอยแครงไม่ได้ จะออกเหนียวกว่าและไม่กรอบเหมือนหอยแครง
คนไม่รู้จะนึกว่าเป็นหอยแครงตัวใหญ่กว่าปกติ
ที่มา:http://www.sangdad.com/

สมองเมมโมรี่ไว้นะ... คราวหน้า ฉันไม่พลาดที่จะจอดซื้อมาลองแน่นอน
อื้ม...อร่อย (รึเปล่า)
จบเรื่องหอย... วันนี้แต่เพียงเท่านี้

ป้ายกำกับ: , ,

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้คู่การใช้เงิน US. (2)







เงินตราสหรัฐ
ต่อนะ

10 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Alexander Hamilton" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "U.S. Treasury "
(เริ่มหนื่อย เพราะแต่ละท่านประวัติช่างมากมาย มีคุณูประการแก่ประเทศอเมริกาอเนกอนันต์ใส่ไม่หมดอ่ะ)
อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) เกิดในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 หรือ 1757 และเสียชีวิตในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (United States Secretary of the Treasury) คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลหนึ่งในคณะผู้ก่อการของประเทศสหรัฐ (a Founding Father) นักเศรษฐศาสตร์ (economist) นักปรัชญาการเมือง (political philosopher) เขาเป็นคนเรียกให้มีการประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (the Philadelphia Convention) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศใหม่ เป็นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญคนแรก เป็นคนเขียนแนวคิดเกี่ยวกับระบบมีรัฐบาลกลาง (Federalist Papers) และเป็นผู้ตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่สำคัญ (Constitutional interpretation)
เมื่อนายพลจอร์จ วอชิงตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ เขาได้รับบทบาทเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีบทบาทอย่างสูงในคณะรัฐมนตรีของวอชิงตัน

5 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Abraham Lincoln" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "Lincoln Memorial"
ท่านนี้สำคัญอย่างไรคิดว่าใครก็คงทราบกันดีนั่นคือการออกมาตราการในการเลิกทาส เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถูกยิงเสียชีวิต กลางสหรัฐในสงครามกลางเมืองอเมริกัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง

อับราฮัม ลินคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน

1 Dollar = 100 Cents
ด้านหน้า : รูป "George Washington" เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "The Great Seal "
“จอร์จ วอชิงตัน ได้รับสมญานามว่า ผู้ให้กำเนิดสหรัฐอเมริกา หรือบิดาแห่งสหรัฐอเมริกา ”
กล่าวถึงการเริ่มต้นของการรวมตัวระหว่างอาณานิคมอเมริกันเพื่อต่อต้านจักรภพอังกฤษคงจะไม่ประสบผลสำเร็จหากไม่มีผู้นำเช่นเขา เพราะด้วยสภาพของพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลในแต่ละรัฐของอเมริกา นั้นมีขนาดใหญ่เท่าประเทศหนึ่งเลยทีเดียว และต่างตั้งตัวเป็นเอกเทศ จอร์จ วอชิงตันเป็นคนที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจ จนนำไปสู่การปฏิบัติตามในสิ่งที่เขาคิด ที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้องสำหรับอนาคตของคนอเมริกัน เพราะในช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคนอเมริกันว่าจะเลือกเดินทางไปทางไหนดี ระหว่างการจะปกครองตนเองด้วยระบอบกษัตริย์แบบดั้งเดิมที่มีกันมา หรือเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย จะอย่างไรก็ตามคงด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของเขาทำให้เขาเลือกที่จะให้สหรัฐอเมริกามีการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งในตอนนั้นถือว่ายังไม่มีประเทศใดในโลกนี้เลยที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นการยากมากที่จะทำให้ประเทศที่เต็มไปด้วยอาณานิคมที่ปกครองตอนเองอย่างเป็นอิสระหันหน้ามาร่วมมือกัน
อันเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในโลกมาจนทุกวันนี้ บรรดานักปราชญ์จัดอันดับให้วอชิงตันเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อนุสาวรีย์ของเขาตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงวอชิงตัน นครหลวงของสหรัฐอเมริกา หน้าตึกแคปปิตอล ซึ่งเป็นรูปโดมเป็นที่ตั้งของสภาคองเกรสและศาลสูงสุด สร้างเป็นรูปเสาสี่เหลี่ยม ปลายแหลม มองเห็นได้อย่างสง่างามในปัจจุบัน ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญควอเตอร์ (25 เซนต์) เพื่อให้คนอเมริกันตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์นานาประการที่เขาทำเพื่อชนชาวอเมริกัน

ส่วนด้านหลังของแบงค์ 1 ดอลล่าห์นี้มีเรื่องเล่ามากมายให้เรียนรู้กัน
บนธนบัตร 1 ดอลลาร์ ของสหรัฐอเมริกา มีภาพและข้อความที่น่าฉงนอยู่หลายอย่างทีเดียว เช่น พีระมิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ดวงตาเหนือพีระมิด ลูกศรและกิ่งไม้ในกรงเล็บของนกอินทรี รวมทั้งวลีภาษาละตินอีกหลายคำ ลองมาดูความหมายอันล้ำลึกของสัญลักษณ์เหล่านี้กัน
พีระมิดที่สร้างไม่เสร็จ บ่งว่าสหรัฐอเมริกายังอยู่ในช่วงการก่อร่างสร้างประเทศ สอดคล้องกับรูปดวงอาทิตย์สว่างๆ หลังรูปตาซึ่งเป็นดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้น หมายถึงว่าประเทศใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ส่วนเงาของพีระมิดหมายถึงดินแดนทางตะวันตกที่ยังบุกไปไม่ถึง กปราชญ์ด้านเทพปกรณัมชาวอเมริกันชื่อ โจเซฟ แคมพ์เบลล์ ขยายความไว้ว่า พีระมิดองค์หนึ่งมีสี่ด้าน คือทิศสี่ทิศ ถ้ามองที่ระดับพื้น คนอเมริกันจะอยู่ทางทิศใดทิศหนึ่ง แต่หากดูที่ยอด ทุกทิศจะมาบรรจบกัน และ ณ ที่นั้น พระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าก็จะปรากฏขึ้น! พระผู้เป็นเจ้าที่ว่านี้เป็นเทพเจ้าแห่งเหตุผล เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของเหตุผล คำว่า IN GOD WE TRUST หรือ “เราเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า” หมายถึงว่า คนอเมริกันรุ่นแรกที่สร้างชาติขึ้นมา เชื่อว่าจิตของมนุษย์ที่ปราศจากมลทินล้วนสามารถใช้เหตุผล จึงสามารถเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าแห่งเหตุผลได้ และนี่ก็คือหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยนั่นเอง
วลีภาษาละตินใต้พีระมิด คือ “Novus Ordo Seclorum” หมายถึง “ระเบียบใหม่ (ของโลก) แห่งยุคสมัย” ส่วนวลีด้านบน “Annuit Coeptis” หมายความว่า “พระองค์ทรงเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของพวกเรา” านหลังของพีระมิดเป็นทะเลทราย ส่วนด้านหน้าเป็นต้นไม้ที่กำลังเติบโต ทะเลทรายคือสงครามและความวุ่นวายในยุโรป คนอเมริกันได้หลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้นมาสร้างรัฐยังดินแดนใหม่ด้วยเหตุด้วยผล
นกอินทรี ตามคติของเทพปกรณัมกรีกเป็นนกแห่งเทพเจ้าซูส (Zeus) นกคือรูปแบบหนึ่งในการสำแดงพระรูปของเทพเจ้า พระองค์เสด็จลงมายังโลกแห่งทวิภาวะ ซึ่งภาวะหนึ่งคือ สันติภาพ อีกภาวะหนึ่งคือสงคราม ดังนั้น กรงเล็บข้างหนึ่งของนกอินทรีจะมีช่อลอเรล (laurel) แทนหลักแห่งการเจรจาอย่างสันติ ส่วนกรงเล็บอีกข้างหนึ่งมีลูกศร แทนหลักแห่งสงคราม โล่ทางด้านหน้าของนกอินทรีลอยอยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ หมายความว่า อเมริกาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองโดยใช้ระบบรัฐสภา นกอินทรีมองไปในทิศทางของใบลอเรล หมายความว่า สหรัฐอเมริกาจะพยายามใช้วิถีทางแห่งสันติในการจัดการความขัดแย้ง แต่ถ้าไม่ได้ผล อเมริกาก็พร้อมที่จะใช้กำลัง! เหนือหัวของนกอินทรีมีดาว 13 ดวง เรียงอยู่ในรูปของดวงดาวแห่งเดวิด (Star of David) และหากย้อนไปนับแถบแนวดิ่งบนโล่ จะพบว่ามี 13 แถบ ใบบนช่อลอเรลในกรงเล็บขวามี 13 ใบ ลูกศรในกรงเล็บซ้ายมี 13 ดอก ส่วนพีระมิดก็มีทั้งสิ้น 13 ชั้น!
(อ่านแล้วก็งงๆ ว่าอะไรจะต้องมีสัญลักษณ์มากมายขนาดนั้น ก็แล้วแต่คนจะคิดค้นกันได้ล่ะน่า อีกทั้งจำนวนเลข 13 ด้วย คล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่อง 23 ที่หากเราคิดว่ามันเกี่ยวโยงกัน มันก็จะเกี่ยวโยงกันนั่นแหละ)

ป้ายกำกับ: , ,

ความรู้คู่การใช้เงิน US. (1)

เงินตราสหรัฐอเมริกา (1)

เมื่อวันประกาศผลรางวัลออสการ์ กุมภาพันธ์ปี 2009 ฉันมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ Slumdog Millionaire หนึ่งในคำถามเกมเศรรษฐีนั้นคือ บนแบงค์ 100 ดออล่าห์เป็นรูปใคร แล้วพระเอกก็ตอบได้ถูกต้องเพราะผ่านประสบการณ์ที่ทำให้จดจำได้ไม่มีวันลืม ฉันก็ลองตอบอยู่ในใจ เอ... ฉันนึกหน้าตาคนที่อยู่บนแบงค์ออกนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครน่ะสิ เพราะเห็นและใช้อยู่บ่อยๆ ตอนอยู่อเมริกา แต่ไม่เคยสนใจว่าบนแบงค์นั้นเป็นรูปใครบ้าง จำได้แต่อับราฮัม ลินคอร์นกับจอร์จ วอชิงตัน (จริงๆ แล้วคนอเมริกันก็ไม่ค่อยใช้เงินสดกันหรอกนะ ใช้กันแต่บัตรเครดิต ใครถือแบงค์ร้อยไปซื้อของเนี่ย แปลกประหลาดมาก เขาจะรู้เลยว่าคนๆ นี้เป็นพวกนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็แรงงานต่างชาติ)
เอาล่ะ วันนี้ฉันจึงมานั่งเรียนรู้กันสักหน่อยว่า ไผเป็นไผ! บนแบงค์ (ธนบัตร - ภาษาอังกฤษ เรียกว่า แบงค์โน้ต bank note) อเมริกาเนี่ย

100 Dollars (เป็นแบงค์ใหญ่สุดที่เราจะพบเห็นในชีวิตประจำวัน จริงๆ แล้วมีแบงค์พันด้วย แต่เป็นแบงค์พิเศษ ไม่ค่อยมีคนใช้หรอก)
ด้านหน้า : รูป "Benjamin Franklin" เป็นหนึ่งในรัฐบุรุษแห่งอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "Independence Hall"

เบนจามิน แฟรงกินเป็นไผ??? ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาคงจะเป็นหนึ่งในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐ และจะต้องเป็นประธานาธิปดีที่สำคัญมากด้วยแน่ๆ ถึงอยู่บนแบงค์ใหญ่สุดที่เขาใช้ๆ กัน แต่จากการหาข้อมูลแล้วไม่ใช่อะ เขาเป็นรัฐบุรุษที่มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกามาก

“If you would not be forgotten, as soon as you are dead and rotten, either write
things worth reading, or do things worth the writing” ~ Ben. Franklin

และเบ็นจามิน ก็ได้ใช้ชีวิตสมดังคำคมที่เขาเป็นผู้เขียนขึ้นมา ไม่เพียงแต่การเขียน หากใด้ลงมือทำมากยิ่งกว่า
ทั้งต่อประเทศบ้านเกิดและสังคมโลก ซึ่งยังคงใช้แนวคิดของเขาอยู่ทุกวันนี้ อเมริกาไม่เคยลืมเบ็นจามิน
แฟรงคลิน ผู้เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์, นักประดิษฐ์, นักการเมืองการปกครอง, ช่างพิมพ์, นักปรัชญา, นักดนตรี,
และนักเศรษฐศาสตร์

เบ็นจามิน เกิดวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1706 ที่เมืองบอสตัน แต่เมืองที่ถือว่าเป็นบ้านของเขาคือ เมืองฟิลาเดลเฟีย ร่างของเขาฝังอยู่ที่นี่, อนุสาวรีย์รำลึกถึงเบ็นจามิน ก็อยู่ที่นี่ รวมทั้ง The Franklin Institute Science Museum เขาสู้ชีวิตมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปลอนดอน ประเทศอังกฤษจนกลับมาตั้งกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือและหนังสือพิมพ์ และตัวเขาเองก็เขียนหนังสือด้วย มีวลียอดฮิตจากหนังสือที่ใครๆ ก็รู้จักคือ “A penny saved is a penny earned” อีกทั้งเขายังช่วยเหลือชุมชน รณรงค์ให้มีการสร้างถนนถาวรในเมือง, การทำความสะอาด, และการให้แสงสว่างตามท้องถนนในยามค่ำคืน, เป็นผู้รณรงค์ให้รักษา สิ่งแวดล้อม ที่สำคัญก็คือได้ก่อตั้งบริษัท Library Company ในปีค.ศ.1731 ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญใน
การเกิดห้องสมุดในเวลาต่อมา เพราะในสมัยนั้นหนังสือเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีราคาแพง คนธรรมดาเป็น
เจ้าของได้ยาก แต่เบ็นจามินได้รวบรวมแหล่งและผู้คนได้มากพอที่ทำให้สามารถซื้อหนังสือจากอังกฤษได้
ปีค.ศ.1743 ได้ก่อตั้งสมาคม American Philosophical Society เป็นสมาคมการเรียนรู้แห่งแรก
ในประเทศ และปีค.ศ.1751 ได้ร่วมกับชาวเมืองสร้างโรงพยาบาลขึ้นชื่อ Pennsylvania Hospital
องค์กรทั้งสามยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
เป็นนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกด้วย
เมืองฟิลาเดลเฟียมักเกิดไฟไหม้อยู่เสมอ เบ็นจามินจึงพยายามหาวิธีป้องกัน ประดิษฐ์สายล่อฟ้า และก่อตั้งหน่วยดับเพลิงเป็นครั้งแรกเรียกว่า Philadelphia’s Union Fire Company โดยมีคำขวัญในการทำงานว่า “An ounce of prevention is worth a pound of cure” เพราะเขาพบว่าไฟไหม้แต่ละครั้งนำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย เขาจึงได้ก่อตั้งกองทุนประกันภัยไฟไหม้ด้วย Philadelphia Contribution for Insurance Against Loss by Fire ใครที่มีประกันไฟ เมื่อเจอไฟไหม้ก็ไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว นอกจากนี้เขายังประดิษฐ์ เครื่องทำความร้อนในบ้าน (Franklin Stove), ประดิษฐ์ ตีนกบ (Swim fins), ฮาโมนิก้าทำด้วยแก้ว, แว่นตาชนิดซ้อนกัน ดูได้ทั้งระยะใกล้และไกล (bifocals) และอีกมากมาย
เบ็นจามินเริ่มสนใจการเมืองการปกครองและได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนรัฐเพ็นซิลวาเนียไปอยู่ประเทศอังกฤษในฐานะตัวแทนไม่เพียงแต่ของรัฐเพ็นซิลวาเนีย เท่านั้นแต่ยังเป็นตัวแทนของรัฐจอร์เจีย, รัฐนิวเจอร์ซี่, และรัฐแมสซาจูเซ็ตด้วย (สมัยนั้นสหรัฐอเมริกายังเป็ฯอาณษนิคมของอังกฤษ) เบ็นจามินอยู่ที่อังกฤษจนถึงปีค.ศ.1775 ได้รู้เห็นความล้มเกลวและการทุจริตในราชสำนักโดยตลอด เมื่อได้รับรู้กระแสการต่อต้านของชาวอาณานิคม ทำให้เบ็นจามินเริ่มคิดจริงจัง เรื่องที่ชาวอาณานิคมควรแยกตัวเป็นอิสระ เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว เบ็นจามินก็เริ่มต้นทำตามความคิดของตัวเองโดยการเริ่มรวบรวมผู้คนที่คิด
เหมือนๆกันในรัฐต่างๆ ในที่สุดเขาก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปร่วมการประชุม Second Continental
Congress และเป็นหนึ่งในห้าคนของผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพ (Draft the Declaration of
Independence) แม้ว่าการเขียนส่วนใหญ่จะทำโดย Thomas Jefferson แต่ความคิดส่วนใหญ่
เป็นของ Benjamin Franklin หลังจากนั้นเขาได้เป็นเอกอัครทูตของสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศฝรั่งเศส
ผลงานสำคัญชิ้นสุดท้ายที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจากการเขียนของเบ็นจามินก็คือกฎหมายต่อต้านการมีทาส (Anti- Slavery Treatise) ในปีค.ศ.1789
เบ็นจามิน ถึงแก่กรรมในปีต่อมา วันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1790 เมื่ออายุได้ 84 ปี

ธนบัตรใบละร้อย มีชื่อเล่นมากมาย จะยกตัวอย่างสัก สองสามชื่อ Benjamin, Benjie, Frank
และรุ่นล่าสุดมีชื่อเล่นว่า Bigface (เพราะว่าหน้าใหญ่สุดกว่าหน้าใครๆ ในแต่ละแบงค์)

โห! แค่แบงค์เดียวนะนี่ ยังยาวขนาดนี้ อ้อ... ด้านหลังของแบงค์นี้จึงเป็น Independence Hall ที่เมืองฟิลาเดเฟีย รัฐเพ็นซิลวาเนีย แบบไม่ต้องอธิบายล่ะว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ (ดีใจนะเนี่ย ที่ฉํนเคยได้ไปยลเมืองนี้ และไปชมระฆังแห่งเสรีภาพมาแล้ว เข้าใจล่ะว่า... เสียงระฆังแห่งเสรีภาพไพเราะและกังวานขนาดไหน)

เอ้า... แบงค์ต่อไป
50 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Ulysses S. Grant" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 18 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "D.C. Capital" (หมายถึง United States Capitol ที่อยู่ใน Washington, D.C.)
ประธานาธิบดีท่านนี้เกิดที่ Ohio แต่เรียนที่ New York ถึงแก่กรรมและฝังร่างที่ New York
เป็นประธานาธิบดีที่เคยเป็นทหารยศสูงมาก่อน และเป็นบุคลสำคัญในการออกกฎหมายความเท่าเทียมกันของคนในชาติ (ที่ต่างเชื้อชาติ) Civil Right Act of 1871 ในยุคที่มีความขดแย้งทางด้านชาติพันธุ์และสีผิว (สงครามกลางเมือง เหนือ-ใต้)
ต่อไปเป็นแบงค์ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน (อย่างที่บอก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครจ่ายด้วยแบงค์ร้อยกันหรอก)

20 Dollars
ด้านหน้า : รูป "Andrew Jackson" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของอเมริกา
ด้านหลัง : รูป "The White House"
แอนดรูว์ แจ็กสัน รัฐบุรุษอเมริกันและประธานาธิบดีคนที่ 7 แห่งสหรัฐอเมริกา เกิดที่เมืองแวกซ์ฮอว์ รัฐเซาท์แคโรไลนา จบการศึกษาด้านกฎหมายและได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาจากรัฐเทนเนสซี ในปี พ.ศ. 2364 แอนดรูว์ แจ็กสันดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐฟลอริดาฝ่ายทหาร ต่อมาในช่วงเวลาสงครามต่อสู้กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2355 แอนดรูว์ แจ็กสันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอเมริกันส่วนใต้ ชื่อเสียงอันโด่งของแอนดรูว์ แจ็กสันเริ่มจากสงครามเมื่อครั้งที่รบกับอินเดียนแดงที่ครีก และมีชื่อเสียงมากขึ้นอีกครั้งจาการได้ชัยชนะต่อกองทัพอังกฤษที่นิวออร์ลีนส์ (พ.ศ. 2358) เหตุผลสำคัญที่ทำให้แอนดรูว์ แจ็กสันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเนื่องมาจากการได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาแบบใหม่ที่เรียกกันภายหลังว่า “ประชาธิปไตยแจ็กสัน” (Jacksonian democracy)
ยังไม่จบ ยังมีต่อตอนสองจ้ะ

ป้ายกำกับ: , , , , ,

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้คู่การกิน...หอย (2)

ว่าด้วยเรื่องหอย... หอย ที่ฉันชอบ (2)
จากตอนที่แล้วที่ฉันเขียนถึงหอย Geoduck อ่านว่า Goo wee duk กูอี้ดั๊ก เมื่อมันเป็นซาชิมิ ในอาหารญี่ปุ่น มันมีชื่อว่า Mirugai
หน้าตาเวลาอยู่ในจานจะน่ากินมาก


ส่วนอีกหอยหนึ่งที่ฉันชอบ รู้จักเมื่อมันเป็นอาหารญี่ปุ่นอีกนั่นแหละ คือหอยปีกนก ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Hokkigai ชื่อภาษาอังกฤษคือ Surf Calm มันคือประเภทหอยสองฝา หรือ หอยตลับบ้านเรานั่นเอง (ประเภทเดียวกับหอยลอยนั่นแล) หน้าตามันเป็นอย่างนี้จ้า



แปลกเนอะ หอยปีกนกเนี่ย แพงเชียวนะ เวลามันอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ทำไมหอยตลับ ขายตามตลาดสดหรือตามข้างถนน มันกิโลละแค่ไม่กี่บาทเองอ่ะ มันสายพันธุ์เดียวกันแท้ๆ เลยนะ แค่ต่างสัญชาติแค่นั้นเองอ่ะ มันต่างกันราวฟ้ากับทรายเลย

ฉันเคยทำซูชิมาแล้วบ้างด้วยความจำเป็นบางประการ ทำให้พอรู้จักซูชิ อาหารญี่ปุ่นบางอย่าง อีกหนึ่งหอยที่เป็นซูชิ หรือซาชิมิ นั่นคือ Abalone หรือหอยเป๋าฮื้อนั่นเอง มีชื่อเป็นภาษาญุี่ปุ่นคือ Awabi อันนี้เป็นสุดยอดหอยที่ฉันชอบอีกหนึ่งชนิด (เมืองไทยก็มีฟาร์มหอยเป๋าฮื้ออยู่มากทางภาคใต้ อาทิ ภูเก็ต)


หน้าตาตอนมันเป็นๆ เนี่ย ทำเอาฉันไม่ค่อยอยากจะกินมันเลยอ่ะ แต่พอมันอยู่ในจาน หรืออยู่ในปากและในท้องแล้วเนี่ย สุดยอดดดดดดดดดดดดดด...


แต่คนอเมริกันไม่ค่อยชอบลองของแปลก ไม่ค่อยรู้จักหอยแปลกๆ เมนูหอย Abalone นี้จึงไม่เป็นที่นิยมในร้านที่ฉันเคยทำงานอยู่สักเท่าไร

ส่วนหอยเบสิค ๆ ที่รู้จักกันดี ก็คือ Scallop หรือหอยเชลล์ ภาษาญี่ปุ่นเรียก Hotate ก็อร่อย
แล้วก็หอยนางรม หรือ Oyster ภาษาญี่ปุ่นเรียก Kaki (สองหอยนี้ฝรั่งรู้จักดี)

อ้อ... มีอีกหนึ่งหอยที่ได้ลองกินเมื่อมันมาเป็นหน้าซูชิ นั่นคือ Uni หรือ Sea Urchin หรือไข่หอยเม่น นั่นเอง



เคยอ่านเจอ เขาบอกว่า มันไม่ใช่หอย มันคือตระกูลเดียวกับพวกปลาดาว (ที่ไม่ใช่ปลา) และที่เรียกกันว่าไข่ จริงๆ แล้วก็คือเนื้อมันนั่นเอง ฉันกินแล้วก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก มันเป็นเหมือนไข่ปลา หรือ ไข่อะไรสักอย่าง คือมันนิ่มๆน่ะ มันไม่เหนียวนุ่ม เหมือนเนื้อหอยทั่วไป (ก็เพราะมันไม่ใช่หอยน่ะสิ) ฉันก็เลยไม่จัดมันอยู่ในรายการหอยโปรดของฉัน
เมนู uni เนี่ย ฝรั่งกะญี่ปุ่นชอบมากเลย (แต่ต้องเป็นฝรั่งเมืองใหญ่ๆ อย่างนิวยอร์กนะ)
ส่วนเม่นทะเลบ้านเราก็เหมือนกัน เขาว่ากินได้
นี่คือ Code มาจากเว๊บบอร์ด pantip น่ะ
"ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นเป็นผู้สอน เจ้าเม่นดำขนยาวนี่แหละครับ จับมาแล้วใส่ในเข่งไม้ไผ่ เขย่าแรงๆ ในน้ำทะเล เขนเม่นเมื่อถูกับผิวเข่งจะค่อยหายไปหมด เหลือ แต่ตัวกลมๆ หลังจากนั้นเอามาผ่าจากข้างบนลงล่าง จะได้เป็นกลีบๆ ข้างในจะมีเห็นรังไข่สีแดงเป็นพูๆ ใช้ปากคีบคีบใส่จานเป็นชิ้นๆ เวลาทานก้อเอาไข่เม่นราดกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือวาซาบิ ว่ากันว่ากินแล้วมีพลังดีนักแล"
เห็นบอกว่า ที่สมุยก็นำมายำ แบบไทยๆ เนี่ยแหละ แต่ทำไม มันไม่ขึ้นชื่อแล้วก็แพงแบบซูชิล่ะ (อีกแล้วๆ)
ปล. เขาว่าทะเลที่มีหอยเม่นมาก ๆ แสดงว่าน้ำไม่สะอาดแล้วล่ะ
แล้วก็หากมีคนนิยมจับมันมากินมากๆ ก็อาจสูญพันธุ์หรือหายากแบบหอยมือเสือนะ
จบเรื่องหอย... วันนี้แต่เพียงเท่านี้

ป้ายกำกับ: , , , , , , , ,

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

Key West (more)

เนื่องจากรูปภาพที่ฉันอยากโชว์ยังมีอีก จึงมี Key West (more) โดยที่ไม่ต้องมีใครมาร้อง อังกอร์ อังกอร์
ฉันจัดให้...


รูปแรกนี้เป็นป้ายร้านเบียร์ หน้าตาเจ้าของผู้ก่อตั้งเหมือนคุณลุงเออร์เนส เฮมมิ่งเวย์ อีกแล้วอ่ะ สงสัยคนเมืองนี้จะโคลนนิ่งกันออกมาจริงๆ นะ


ทายสิ ไก่จริงไก่ปลอม
เห็นไก่ตัวนี้เดินๆ อยู่ เอ๊... นึกว่าเดินอยู่สุราษฎร์ สวนโมกข์ ซะอีก เดินไปไหนก็เห็นแต่ไก่เหมือนกัน เป็นเกาะเหมือนกัน เออ... เขามี เรามี เหมือนกัน เลยอ่ะ (เฉลย ไก่จริงจ้ะ)


นี่ไง คิวย๊าว ยาว ที่จะถ่ายรูปกับเจ้าก้อนสีแสบซ่า The Must ของ Key West


ทายสิ สัปะรดจริง หรือปลอม (ทายไม่ถูกก็ต้องไปตัดแว่นแล้วล่ะ ตาไม่เป็นสัปะรดเลย)

หน้าร้าน Key Lime Pie ขนมขึ้นอยู่ของที่นี่เขาล่ะ


ป้ายหน้าหาด ที่เขาบอกว่าเป็นหาดที่อยู่ใต้สุดของ USA นะจ๊ะ แล้วก็บอกด้วยนะว่านักเขียนชื่อดัง Tennessee Williams (ผู้เขียนหนังสือดังมากมายหลายเรื่อง อาทิ A Streetcar Named Desire) มาว่ายน้ำที่นี่ทุกเช้าเลย

อะไรๆ ก็ต้องบอกว่าใต้สุดๆ สุด USA บ้านหลังนี้ก็เช่นกัน เป็นบ้านใต้สุดๆ สุดอเมริกาแล้วนะ ไม่มีใครใต้ไปกว่านี้ โน่น... เจอบ้านอีกทีก็ที่คิวบา จ้า
บ้านหลังนี้ปัจจุบันเป็นโรงแรมแล้ว ใครอยากไปนอนที่ใต้สุดของ USA ก็ต้องมานอนที่บ้านหลังนี้กันนะจ๊ะ


ฉันเห็นทรงต้นไม้นี้แปลกตาดี จึงถ่ายรูปไว้ พอมาอ่านประวัติก็ยิ่งแปลก...ชอบจัง
อยากรู้เหรอ... อ่านข้างล่างแล้วแปลเองละกันนะ (คลิ๊ก ขยายอ่านได้จ้า)


มาที่นี่ ทั้งไมอามี่และตลอดทางที่จะมา Key West เห็นเรือยอร์จลำโตๆ มากมาย ตื่นเต้น นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง ไททานิก ตลอดเลย (คุณลุงคนขับรถทัวร์ก็เปิดหนังเรื่องนี้ฉายระหว่างทางกลับด้วยนะ... อินกับบรรยากาศมาก) ปะเข้ากับเรือลำโตของ Disney ก็ต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยล่ะ



โปรดสังเกตุท้องฟ้า เมฆเยอะมาก ที่นี่ก็อากาศแปรปรวนมาก หากไม่มีแดด นั่งหลบแดด หรือพระอาทิตย์เบื่อที่โชว์รัศมี แอบอยู่ในเมฆ
เราก็จะรู้สึกเย็น นั่งนานๆ ก็หนาว แต่หากแดดออกเมื่อไหร่ก็ร้อนล่ะ ฉันไม่ได้ทากันแดดไป กลับมาหน้าดำ น้องที่บ้านถาม เอ๊... ไปไมอามี่ หรือไปอีสานเนี่ย อ้าว... ไปชายหาด กลับมาก็ต้องดำเป็นหลักฐานใช่มั้ย ไม่งั้นไม่เชื่อว่าไปทะเลจริง (ฉันนี่แย่เนอะ ไม่รักงามเลย ลืมทากันแดดตลอด)

ตึกเก่าสีแดงอันนี้ เขาอนุรักษ์ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ของฉัน อ้าว... ก็ Art Museum ไง แหม ไม่เก็ท...


ทายอีกทีสิ คนกวาดถนน คนจริง คนปลอม เด็กเสื้อฟ้า เด็กจริงเด็กปลอม
ทายถูกอ่ะเป่า...

นี่ไง ป้ายหน้า Museum ทายอีกสิ คนเสื้อเขียว ที่ถ่ายรูปอยู่นั่นน่ะ คนจริง คนปลอม เพื่อนฉันจะถ่ายรูปฉันในมุมเนี้ยะแหละ ฉันก็ยืนร๊อ รอ... เพื่อนก็ไม่ยอมกดชัตเตอร์ซะที ฉันก็ถาม ทำไม นานจัง เพื่อนบอก "รอจังหวะให้คนนั้นเขาออกไปก่อนอ่ะ ไม่ไปซะที" คงต้องรอเขาเปลี่ยนพวกรูปปั้นชุดใหม่น่ะ คนเสื้อเขียวถึงจะยอมไป



เอ่อ... มา Key West ก็ต้องมาชม Sun Set แต่ฉันได้ชมพระอาทิตย์ตกขณะอยู่บนรถที่วิ่งๆ อยู่เจอสะพานขาด อึ๊ย... ไม่ใช่เส้นนี้ เส้นโน่น

หมดแล้ว... จริงๆ มีอีก แต่พอเหอะเนอะ

ป้ายกำกับ: ,