ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: กรุงเทพฯ, Thailand

ฉันเป็นคนความจำสั้นน่ะ เหมือนเมมโมรี่สมองมันเกือบเต็มแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่นี้แล้ว บางครั้งสมองก็ Auto Delete เพื่อความสบายตัวของหัวสมองเอง ดังนั้นฉันจึงต้องบันทึกการเดินทาง ชีวิตและความคิด... บางส่วนไว้... เพื่อกันลืม และเผื่อมีใครอยากอ่าน อยากรับรู้บ้าง...ฉันก็ยินดี sharkyja@yahoo.com

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

เที่ยวพังงา ก่อนสงกรานต์ปี 2552 (ตอนที 2)

วันที่สอง
ตื่นเช้ามาเดินเล่นชายหาด เพื่อตรวจระดับน้ำลดของทะเล
เพราะฉันจำได้แม่นว่าหน้ารีสอร์ทมีโขดหินที่เวลาน้ำลดจะเห็นแนวปะการังเกิดใหม่ขนาดย่อมๆ แสนสวย รวมทั้งหมู่ปลาหลากสีตามบริวเณโขดหิน ชนิดที่มองด้วยตาเปล่าได้โดยไม่ต้องดำน้ำเลยทีเดียว
แต่น้ำยังสูงอยู่ มองเห็นโขดหินห่างจากฝั่งค่อนข้างไกล แล้วก็มีหลายโขดหินซะด้วย ไม่มั่นใจว่าเวิ้งไหน แต่ฉันรู้สึกว่าโขดหินมันมีมากขึ้นจากเมื่อก่อนนะ ก็เลยเสิร์ทอินเตอร์เน็ตหาเวลาน้ำขึ้นน้ำลงของท่าเรือคุระบุรี และท่าเรือทับละมุ (ที่ใกล้หาดนางทองที่สุด) ก็ได้เวลาประมาณการ เพื่อเราจะได้กะเวลาการเล่นน้ำทะลตามหาแนวปะการังหน้ารีสอร์ทให้เจอให้จงได้ (เหมือนรายการ Discory เลยอ่ะ) แล้วก็เสิร์ทหาที่เที่ยวที่ไม่ไกลจารีสอร์ทเพื่อเดินทางสร้างสีสันของวันนี้ นั่นคือ เที่ยว “ถ้ำพุงช้าง” นั่นเอง
เพียงเราเอ่ยปากบอกเพื่อนเท่านั้น เพื่อนผู้แสนดีก็เนรมิตรถฟักทอง เอ๊ย ไม่ใช่ รถตู้พร้อมคนขับมาบริการทันที โดยเป้าหมายของเราคือ กินก่อนเที่ยวเป็นสำคัญ เฉกเช่นเดียวกับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง การเดินทางก็ต้องเดินด้วยท้องเช่นเดียวกัน (ด้วยการกลิ้งท้องโย้ๆ ขึ้นรถตู้ไง)

ร้านอร่อยมื้อกลางวันของเราวันนี้ คือ ร้าน “ยิ้มยิ้ม” ร้านนี้สมเด็จพระเทพฯ เสด็จมาบ่อย และทรงช่วยเหลือให้ร้านสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้หลังจากที่ประสบภัยสึนามิด้วย เมนูเด็ดที่เราสั่ง คือ หอยชักตีน, ผัดผักใบเหมียงกับไข่และกุ้งเสียบ, ลูกชิ้นปลาลวก (ร้านนี้ทำเองสดๆ เด้งดึ๋งๆ), ปูม้านึ่ง, กุ้งทอดกระทียม, ปลิงทะเลผัดฉ่า อร่อยทุกอย่างแถมราคาไม่แพงด้วย
















เสร็จภาระกิจการกินกระจายก็กลิ้งขึ้นรถ แล้วก็ถึงที่หมาย ถ้ำพุงช้าง ในขณะที่ฝนพรำๆ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้รีบเข้าไปชมโดยไว เพราะถ้าฝนตกหนัก น้ำจะขึ้นแล้วจะชมถ้ำไม่ได้ เสียค่าเข้าคนละ 200 บาท โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลและแนะนำทุกจุดที่น่าสนใจให้เราตลอดทาง ปากทางเข้าให้เราไหว้ศาลเจ้าพ่อช้างเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนการเดินทาง หลังจากนั้นพาขึ้นเรือแคนูพายเข้าถ้ำ (ตลอดทริปภายในถ้ำนี้เป็นทางน้ำทั้งสิ้น) ภายในถ้ำนั้นมืดสนิททีเดียว หากไม่มีไฟฉายก็มองไม่เห็นเลยล่ะ แล้วไกด์ก็บอกเล่าเรื่องราวและจุดน่าสนใจมากมายภายในถ้ำ ยังไม่ทันหายอแมสซิ่งแอดเวนเจอร์เลย คุณไกด์ก็บอกให้ขึ้นท่าเทียบเรือเพื่อเปลี่ยนไปนั่งแพไม้ไผ่ โห! อแมซิ่งดับเบิ้ลฮ่ะ ก็ถามเขาว่า ทำไม พายเรือแคนูเข้าไปเลยไม่ได้ล่ะ เขาบอกว่าทางมันแคบกว่าเดิม แคนูพายเข้าไปไม่ได้ แล้วก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เบื่อด้วย ก็จริงของเขาล่ะนะ เพราะขึ้น ๆ ลงๆ จากแคนู มาเป็นแพไม้ไผ่ นี่ก็ตื่นเต้นแทบขาดใจ ไม่ใช่กลัวจมน้ำนะ เพราะน้ำไม่ลึกหรอก สามารถยืนถึงหรือหากช่วงที่ลึกที่สุดก็แค่ท่วมตัวเราเท่านั้นเอง แต่ที่กลัวน่ะ กลัวตกน้ำแล้วเปียกเท่านั้นเอง ไม่ได้เตรียมพร้อมมาสำหรับเปียกน่ะสิ พี่น้อง แต่ช้าก่อน... ไม่เพียงเท่านี้ พอถึงช่วงหนึ่ง แพก็เทียบท่า แล้วให้เราเดินลุยน้ำครับพี่น้อง นึกถึงหนังแอดเวนเจอร์มากๆ ที่ต้องเดินลุยน้ำภายในถ้ำ อินเลยทีนี้ ภายในถ้ำก็สวยมากและอแมสซิ่งสุดๆ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ถ้ำนี้ได้ชื่อว่าถ้ำพุงช้างเพระเป็นถ้ำภายในภูเขาที่เป็นช้าง มองจากภายนอกเป็นพญาคชสารเลยทีเดียว การเดินทางภายในถ้ำจึงเหมือนเราเดินผ่านลอดใต้ท้องช้าง ซึ่งถือเป็นสิริมงคล

ส่วนภายในถ้ำก็มีหินที่มีลักษณะเหมือนช้างอีกสามจุด และจุดไฮไลท์นั่นคือตอนจบ เป็นรูปพญาช้างเผือก ที่มีลักษณะชัดเจนมากทีเดียว นอกจากนี้ภายในถ้ำก็มีค้างคาวผลไม้ (ตัวไม่ใหญ่ และจำนวนไม่มาก จึงไม่น่ากลัว บรื๋อส์) และก็ค้างคาวจิ๋ว คือ ค้างคาวกิตติ ที่น่ารักมากๆ คือมันจะห้อยตัวอยู่ตามซอกหินเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารัก หนึ่งโพรงซอกหินก็มีแค่ตัวเดียวเท่านั้นเป็นระยะๆ (ไกด์นำทางรู้ว่าจุดไหนที่มีอยู่ก็จะส่องไฟฉายให้เราดู) ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก ฉันชอบไกด์คนนี้ทีเดียว ไม่ใช่น่าตานะจ๊ะ แต่เป็นการพูดแนะนำจุดต่างๆ และตอบคำถามคนช่างซักของกลุ่มเราได้เป็นอย่างดี อาทิ เขาเห็นเพื่อนฉันเผลอไปจับหินที่ยังมีทางน้ำไหลลงมา เขาก็เตือนเพื่อนฉันว่าอย่าไปจับหินแบบนั้น หากเป็นช่วงหินแกรนิตแห้ง ๆ อีกฝั่งนั้นจับได้ แต่หากเป็นหินที่ยังคงมีการก่อตัวของหินงอกหินย้อยอยู่อย่าไปจับเชียว เพราะมันจะทำให้หินนั้นหยุดการเจริญงอกงาม เพื่อนฉันจึงถามว่ามันใช้เวลานานมั้ยกว่ามันจะงอกย้อยลงมา น้องเขาก็ตอบว่า พี่เห็นหินงอกที่เป็นเหมือนปะการังเล็กๆ นั่นไหม ผมอยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว มันก็ยังเหมือนเดิมเลยครับ นั่นแหละ เราก็เลยหัวเราะกับการตอบคำถามของเขา แล้วเขาก็แนะนำจุดต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว อีกทั้งทีมงานก็ดูแลพวกเราค่อนข้างดี เพราะกลุ่มพวกเราเป็นชาวกรุงที่เงอะๆ งะๆ ขึ้นๆ ลงๆ เรือด้วยท่าทีตื่นเต้นและกลัวน้ำราวกับหมาบ้า เขาก็เข้าใจและคอยบอกท่าทางการขึ้นลง ช่วยจับเรือไม่ให้โอนเอนเพราะน้ำหนักตัวแต่ละคนก็เป็นที่น่าหวาดหวั่นให้เรือล่มเป็นยิ่งนัก ตลอดจนบอกทางเดินที่ควรเดิน หรือควรระวังหัวจะชนหินตรงไหนบ้างได้เป็นอย่างดี (เขาห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำน่ะ จึงไม่มีรูปภายในถ้ำมาให้ชมนะ แต่ขอยืนยันว่าสวยมากๆ)

สรุปคือประทับใจทริปอแมสซิ่งแอดแวนเจอร์ “ถ้ำพุงช้าง” นี้จริงๆ (ถ้ำนี้เป็น Unseen of Thailand ด้วยนะจ๊ะ ถ้ำนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2543 และสึนามิไม่มีผลอะไรกับธรรมชาติที่นี่ เพียงแต่นักท่องเที่ยวช่วงหลังสึนามิก็น้อยลงเท่านั้นเอง และที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ยกเว้นตอนฝนตกหนักเท่านั้น) หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับวิมานของเรา เพื่อดินเนอร์อาหารทิพย์อันหรูเริ่ด (มื้อนี้เป็นอาหารฝรั่ง คือ สเต็กและสลัด) และนิทราอย่างสุขสม

ป้ายกำกับ: , , , , ,

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านแล้ว อยากบอกว่า...

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก